สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-EQUITY ที่ผ่านมา นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 25 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 27.70 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 60) กองทุนจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 2.00 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 10.31% ต่อปี (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 29 ธ.ค. 60) ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนและ 1 ปีอยู่ที่ 16.13% และ 20.75% ตามลำดับ โดยเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน SET TRI ซึ่งอยู่ที่ 12.66% และ 17.30% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 29 ธ.ค. 60) ทั้งนี้ที่ผ่านมากองทุน K-EQUITY ใช้กลยุทธ์เน้นการลงทุนในระยะกลางถึงยาว และเป็นหุ้นของบริษัทที่ยังมีความสามารถในการสร้างผลกำไรที่ดีแม้ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่มีความผันผวน จึงทำให้กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-STADE กองทุนมีประวัติการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง รวมเป็นเงิน 10.12 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา (1 ม.ค. - 31 ธ.ค. 60) กองทุนจ่ายปันผลไปแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.75 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 10.91% ต่อปี (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 29 ธ.ค. 60) ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือนและ 1 ปี อยู่ที่ 12.74% และ 16.54% ตามลำดับ ขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน SET TRI อยู่ที่ 12.66% และ 17.30% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 29 ธ.ค. 60) ซึ่งที่ผ่านมากองทุน K-STADE ใช้กลยุทธ์เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราการจ่ายปันผลสูง และมีการกระจายลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเน้นการจับจังหวะการซื้อขายเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กองทุน
นางสาวธิดาศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2561 นี้ โดยปัจจัยขับเคลื่อนมาจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งนอกเหนือไปจากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ยังคงมีทิศทางที่ดีแล้ว เราคาดว่าจะเห็นการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างชัดเจน ประกอบกับการอนุมัติและเบิกจ่ายในโครงการสาธารณูปโภคภาครัฐขนาดใหญ่ตามที่ได้มีการประมูลไปในปีก่อนหน้า ตลอดจนความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้นักลงทุนต่างชาติรวมถึงภาคเอกชนมีความความมั่นใจต่อการลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% เนื่องจากสภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีการทบทวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้หากอัตราดอกเบี้ยสหรัฐมีการปรับขึ้นเร็วและแรงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
"ส่วนปัจจัยที่ผู้ลงทุนจะต้องติดตาม น่าจะมาจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก อาทิ การเลือกตั้งในยุโรปช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ รวมถึงในช่วงครึ่งปีหลังตลาดอาจจะเริ่มกังวลกับสภาพคล่องในระบบของโลกในปีหน้าที่จะเริ่มลดลง เนื่องจากหากเป็นไปตามกำหนด จะเห็นว่าในปีหน้าธนาคารกลางยุโรป(ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเริ่มถอนสภาพคล่องออกจากตลาดเช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐ ส่วนความกังวลเรื่องการเทขายของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้ไม่น่ามีมากนัก เนื่องจากในปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้ทยอยขายหุ้นไทยออกไปแล้วประมาณกว่าสามหมื่นล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติสูงถึงกว่า 3 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงคาดว่านักลงทุนต่างชาติจึงไม่น่าจะมีน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทยมาก ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดว่าดัชนีหุ้นไทยในปี 2561 จะสามารถปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,850 จุดได้ บนปัจจัยพื้นฐานที่ระดับ P/E ปี 2561ที่ประมาณ 16.5 เท่า จากการประมาณการณ์อัตราการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่ 10% และผลตอบแทนจากเงินปันผลอีก 3%" นางสาวธิดาศิริกล่าว
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-EQUITY และกองทุน K-STADE สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
K-EQUITY 1กรกฎาคม2560- 31ธันวาคม2560 1.00
K-STADE 1กรกฎาคม2560- 31ธันวาคม2560 0.55
*คิดจาก NAV วันที่ 29 ธ.ค.60
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายหน่วยลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต