การเปิดตัวศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ ศูนย์โคแพท COPAT – Child Online Protection Action Thailand

พุธ ๑๐ มกราคม ๒๐๑๘ ๑๖:๐๒
"เด็กไทยกับสื่อออนไลน์ 2560" ศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ ศูนย์โคแพท COPAT – Child Online Protection Action Thailand

ผลสำรวจ 10 สถานการณ์เด็กไทยกับสื่อออนไลน์ พบโอกาสเสี่ยงติดเกม เป็นเหยื่อ การกลั่นแกล้ง การนัดพบ และสื่อลามกอนาจาร แต่น่าห่วงว่าเด็กร้อยละ 75 เชื่อว่าดูแลตัวเองและช่วยเพื่อนได้

กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. คลอด COPAT – Child Online Protection Action Thailandเป็นศูนย์ประสานงานปกป้องคุ้มครองเด็กออนไลน์

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารหอประชุม สำนักงาน กสทช. ในงานเสวนา "เด็กและเยาวชนไทย รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี" มีการเปิดตัวศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ หรือ ศูนย์โคแพท COPAT – Child Online Protection Action Thailand

นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. กล่าวว่า "ศูนย์ COPAT ได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน เชื่อมร้อยงานดูแลเด็กและเยาวชนบนโลกออนไลน์ร่วมกับภาคส่วนๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และเครือข่ายเด็กและเยาวชน ในปีที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เห็นชอบยุทธศาสตร์ส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ พ.ศ. 2560 – 2564 และเห็นชอบให้กระทรวง พม. จัดตั้งศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชนได้จัดตั้งศูนย์ COPAT – Child Online Protection Action Thailand เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนากลไกและเครือข่ายที่เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ 2) การจัดระบบปกป้องคุ้มครองและเยียวยาเด็กและเยาวชน 3) การสร้างองค์ความรู้และการวิจัย 4) การเสริมสร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน และบุคคลแวดล้อม และ 5) การสร้างความตระหนักสาธารณะ ในขณะเดียวกันจะมีหน่วย เฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยออนไลน์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนโดยตรง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีองค์ความรู้และชุดเครื่องมือที่พร้อมรับกับสถานการณ์ สามารถคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กและเยาวชนลูกหลานของเราได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น"

อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวเพิ่มเติมว่า "ศูนย์ COPAT มีกลไกในการกำกับติดตามเชิงนโยบายคือ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ซึ่งมี นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานอนุกรรมการฯ ซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งมีพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการดร.ศรีดา ตันทะอธิพานิช กรรมการผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย และ อนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ เปิดเผยว่า "ศูนย์ COPAT ได้สำรวจสถานการณ์เด็กไทยกับภัยออนไลน์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2560 กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กอายุ 9-18 ปี จำนวน 10,846 คน จากทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นเด็กมัธยม (93.10%) ข้อมูลชี้ชัด เด็กๆ เชื่อว่าอินเทอร์เน็ตให้ประโยชน์และสิ่งดีๆ มากมาย (98.47%) ในขณะเดียวกันก็ตระหนักว่ามีภัยอันตรายและความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบบนอินเทอร์เน็ต (95.32%) ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถูกล่อลวง ติดตามคุกคาม ล่วงละเมิดทางเพศ กลั่นแกล้ง ถูกหลอกในการซื้อสินค้า เอาข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ ติดเกม และเข้าถึงเนื้อหาผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย"

ดร.ศรีดา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าเป็นห่วงคือ "กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เชื่อว่าเพื่อนๆ มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภัยอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวแล้ว (69.92 %) ในขณะที่คิดว่าการกลั่นแกล้งรังแกหรือการละเมิดทางเพศจะไม่เกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเอง (61.39%) เมื่อเผชิญปัญหาภัยหรือความเสี่ยงออนไลน์แล้วสามารถจัดการปัญหานั้นเองได้ (74.91%) ทั้งยังสามารถช่วยเหลือเพื่อนที่ประสบปัญหาภัยออนไลน์ได้อีกด้วย (77.90%) จึงเป็นประเด็นที่ผู้ใหญ่ต้องทบทวนว่าเด็กๆ มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เพียงพอจะรับมือกับภัยหรือความเสี่ยงออนไลน์ได้ดีอย่างที่พวกเขาเชื่อหรือไม่ ศูนย์ COPAT จะมาทำหน้าที่ให้ความรู้ ให้เครื่องมือ สร้างภูมิคุ้มกันทั้งในตัวเด็กเองและบุคคลแวดล้อมให้สามารถดูแลเด็กได้ ทั้งในรูปแบบของการทำแคมเปญสร้างความตระหนัก จัดทำเอกสารเผยแพร่ อบรมสัมมนาสร้างแกนนำเพื่อนช่วยเพื่อน พัฒนาทักษะพ่อแม่ดูแลบุตรหลานยุคดิจิทัล ดึงความร่วมมือและสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน"

"เรายังพบว่า เด็กส่วนใหญ่เคยเล่นเกมออนไลน์ (80.48%) เด็กผู้ชายเสี่ยงติดเกมมากกว่าเด็กผู้หญิง โดยเล่นเกมทุกวันหรือเกือบทุกวัน (50.73%) ในขณะที่เด็กผู้หญิงเล่นเกมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง (32.34%) เด็กเคยถูกกลั่นแกล้งรังแกทางออนไลน์ (46.11%) โดยเพศทางเลือกถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด (59.44%) เด็กบางคนยอมรับว่าเคยกลั่นแกล้งคนอื่น (33.44%) เคยพบเห็นสื่อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ(68.07%) ส่วนหนึ่งตอบว่าเคยเห็นสื่อลามกอนาจารเด็ก (21.33%) ได้แก่ ภาพหรือวิดีโอเด็กในท่าทางยั่วยุอารมณ์เพศ การร่วมเพศระหว่างเด็กกับเด็กหรือเด็กกับผู้ใหญ่ เด็กยังเคยนัดพบกับเพื่อนออนไลน์ (15.97%) เด็กผู้ชายเคยนัดพบ (19.34%) ซึ่งมากกว่าเด็กผู้หญิง (12.43%) มีเด็กที่เคยนัดพบมากกว่า 10 ครั้งในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมา (6.60%)" เด็กอายุ 15-18 ปี หรือมัธยมปลาย เป็นกลุ่มที่มีการนัดพบมากที่สุด (77.36%) โซเชียลมีเดียและบริการรับส่งข้อความอย่าง Facebook หรือ Line เป็นช่องทางที่เด็กๆ ใช้ในการติดต่อพูดคุย นัดพบ หรือเข้าถึงสื่อไม่เหมาะสมต่างๆ (71.14 - 94.36%) เด็กไม่ถึงครึ่งบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทางออนไลน์กับคนอื่น และคนแรกที่เขานึกถึงและบอกคือเพื่อนหรือคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากกว่าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นภาพสถานการณ์และปัญหาชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้รัฐบาลสามารถวางนโยบายจัดการรับมือกับปัญหาเด็กกับสื่อออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในประเทศของเราไม่เคยมีการสำรวจข้อมูลในลักษณะนี้มาก่อน ถือเป็นของขวัญวันเด็กเริ่มในปีนี้และจะมีการสำรวจอย่างต่อเนื่องทุกปีต่อไป" ดร.ศรีดา กล่าวเสริม

ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการอิสระ และ อนุกรรมการส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ ได้เปิดเผยรายงานสรุปสถานการณ์สื่อออนไลน์กับเด็กและเยาวชนไทย 2560 จากการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิของการสำรวจวิจัย และงานเอกสารต่างๆ ในประเทศทั้งของหน่วยงานรัฐ และเอกชน ถึงสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนในประเทศไทย พบว่า มี "10สถานการณ์วิกฤตภัยออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชน" ที่หน่วยงานรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ควรสร้างมาตรการระวัง ป้องกันภัย และรับมือได้แล้ว คือ

1. ปัญหาการเล่นเกม เด็กติดเกมส์ และ อีสปอร์ต ที่กำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการแก้ไขปัญหาเด็กติดเกม และเป็นทั้งโอกาสที่จะเปลี่ยนเด็กให้เป็นคนเล่นเกมล่าเงินรางวัลหรืออาจเสี่ยงนำไปสู่ปัญหาการสร้างความหวัง ความฝันที่จะเล่นเกมมืออาชีพแต่อาจจะติดเกมมากขึ้นหากรัฐและพ่อแม่ไม่เข้ามาใส่ใจดูแล

2. ปัญหา การครอบครองสื่อโดยที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เนื่องจากค้นพบว่าประเทศไทยไม่มีการกำกับช่วงวัยและอายุที่เหมาะสม ทั้งในเชิงกฎหมาย และนโยบายรัฐ สถานศึกษา แต่ในเชิงการแพทย์ไทยเริ่มมีคำแนะนำเรื่องหน้าจอที่วัยเหมาะสมคือ อายุ ต่ำกว่า 2 ขวบห้ามเข้าถึงหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดแล้ว

3. การใช้สื่อออนไลน์กับการพนันออนไลน์ พบว่า ปัจจุบันช่องทางเว็บไซต์และสื่อออนไลน์ ต่างๆ มีจำนวนมากที่เป็นสื่อเพื่อการพนัน ที่ปรากฏทั้งในลักษณะของเว็บพนันบอลโดยตรง หรือ การพนันผ่านรูปแบบคาสิโนออนไลน์ หรือแอบแฝงมาในลักษณะของเกมออนไลน์ และยังไม่มีกฎหมายกำกับควบคุมโดยตรงอีกทั้งเว็บไซตืเหล่านี้ยังโฆษณาผ่านสื่อเพื่อเผยแพร่ ล่อลวงให้เด็กเข้าไปเล่นลองมากขึ้น

4. การกลั่นแกล้งรังแกออนไลน์ และการตกเป็นเหยื่อคุกคามทางเพศออนไลน์ โดยเฉพาะการลังแกผ่านการถ่ายคลิปเพื่อประจานและเผยแพร่ แชร์ ปรากฏผ่านการรายงานข่าวของสื่อมวลชนอยู่เนืองๆ ส่งต่อในระดับโรงเรียนประถม และมัธยม ที่น่ากังวลคือยังไม่มีผลการสำรวจทั่วประเทศ ปัญหานี้กลายเป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครสำรวจ วิจัยและป้องกันอย่างจริงจัง ซึ่งแตกต่างกับของต่างประเทศที่เรืองนี้นำไปสู่มาตรการทางกฎหมายและนโยบายของโรงเรียนและความตระหนักรู้ของครูและพ่อแม่ผู้ปกครอง

5. การถูกล่อลวงและล่อออกไปพบคนแปลกหน้าจากสื่อสังคมออนไลน์ ผลการสำรวจในประเทศยังพบน้อยในเชิงสถิติวิจัย แต่โดยในเชิงพฤติกรรมทางสังคม เคยมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าปัญหานี้กลายเป็นพฤติกรรมต้นๆ ที่เด็กไม่ทราบว่าอันตรายและนำไปสู่การข่มขืน ถ่ายภาพบันทึกและการแบล็คเมล์กลับ ซึ่งเกิดขึ้นมากแต่ไม่มีการเก็บสถิติบันทึกที่ชัดเจนเนื่องจากมักเป็นกรณีที่เหยื่อ หรือครอบครัวไม่ต้องการให้เป็นข่าว

นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น 6. การใช้สื่อไปในทางเสริมสร้างอัตลักษณ์ออนไลน์สร้างภาพและเลียนแบบพฤติกรรม ค่านิยมที่ผิด 7. การหลงผิดเปิดเผยข้อมูลและความเป็นส่วนตัวบนสื่อออนไลน์ 8. การขาดการส่งเสริม สร้างทักษะการรู้เท่าทันสื่อออนไลน์ ต่อตัวเด็กและเยาวชนและครอบครัว 9. การขาดกฎหมายกฎหมายปกป้องคุ้มครองเด็กจากสื่อออนไลน์ และที่สำคัญคือ 10. การขาดหน่วยงานกำกับดูแล ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่บูรณาการและเท่าทันสถานการณ์โดยเฉพาะ

นายธาม กล่าวว่า "รัฐและหน่วยงานเอกชน ประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ควรสร้างและหาโอกาสที่จะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการร่วมกันวางกรอบแผนงาน เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ของเด็กและเยาวชนไทย โดยเฉพาะในสถานการณ์วันนี้ ที่เด็กกับเทคโนโลยีมีความใกล้ชิดกันมากจนเกินกว่าจะแยกกันออก สิ่งสำคัญคือ การเร่งสร้างภูมิคุ้มกันสื่อในตัวเด็กและพ่อแม่ รวมทั้งการสร้างระบบหรือกลไกการกำกับดูแลเทคโนโลยีสื่อดิจิทัล และออนไลน์ที่กำลังส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็ก และจะส่งผลอย่างมากต่อการสร้างเด็กไทยเพื่อเพิ่มโอกาสและศักยภาพด้านดิจิทัลและการแข่งขันในศตวรรษที่ 21"

นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการศูนย์ข้อมูลนโยบายสาธารณะเพื่อลดผลกระทบจากการพนัน มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ เปิดเผยว่า นอกจากเด็กจะต้องรู้จักและปกป้องตัวเองแล้ว ผู้ปกครองต้องมีความรู้และเข้าใจว่า สื่อออนไลน์เป็นเหมือนดาบสองคม การยื่นให้เด็กที่ยังมีวุฒิภาวะไม่เพียงพอนั้น เป็นการเปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าเข้าถึงตัวเด็ก ผู้ปกครองจึงต้องเท่าทันเทคโนโลยีด้วย ซึ่งเมื่อมีการตั้งศูนย์ Copat แล้ว จะมีการจัดทำคู่มือสำหรับเด็กและผู้ปกครองในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ โดยจะแบ่งเป็นแต่ละช่วงวัย ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๒ ขวบไม่ควรใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และเด็กในวัยใดควรใช้สื่อออนไลน์อย่างไร เด็ก ๘ ขวบขึ้นไป พ่อแม่ควรแนะนำอย่างไร เป็นต้น เราจะมีการจัดทำคู่มือออกมา คาดว่าจะสำเร็จภายใน ๑-๒ ปี รวมถึงจะได้มีการจัดการประเด็นปัญหาเรื่องอื่นๆในเชิงลึกมากขึ้น เช่น พนันออนไลน์ กับมาตรการทางกฎหมาย การร่วมมือเฝ้าระวัง การแจ้งเว็บไวต์ที่ผิดกฎหมาย หรือประเด็นการกลั่นแกล้งออนไลน์ เช่น การถ่ายรูปแล้วโพสต์แซวกันในเฟสบุ๊ค บางกรณีเป็นความกระทบกระเทือนทางจิตใจ การถูกล่อล่วงและการถูกนำข้อมูลไปแบลคเมล์ เป็นต้น รวมถึงการออกแบบระบบสำหรับการส่งต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรณีที่เกิดปัญหาเช่นนี้ในโรงเรียน จะส่งต่อให้กับหน่วยงานใดดูแล และเยียวยาเด็กได้บ้าง

" ถือเป็นเรื่องที่ดีและต้องขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญและเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานร่วมกัน รวมถึงหน่วยงานต่างๆที่ให้ความสำคัญ การดูแลเด็กและเยาวชนในการใช้สื่อออนไลน์ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมของทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง และต้องสร้างความสมดุลระหว่างการปกป้องและการสนับสนุนให้ใช้สื่อออนไลน์ เพื่อไม่ทำให้เป็นการปิดกั้นมากเกินไปและไม่เป็นการสนับสนุนมากเกินไป ที่สำคัญคือการมีกฎหมายและการบังคับใช้ เช่นในต่างประเทศเด็กที่อายุต่ำกว่า ๑๓ ห้ามเล่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น อีกทั้งเด็กๆ ใช้วิธีติดต่อเพื่อนทางโลกออนไลน์มากขึ้น ผู้ปกครอง ครู และผู้นำชุมชนต้องรู้เท่าทัน " นายพงศ์ธร กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version