โครงการขยายผลการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ระยะที่ 7

พฤหัส ๑๘ มกราคม ๒๐๑๘ ๑๐:๑๙
ส.อ.ท. จับมือ อบก. และองค์กรชั้นนำเปิดตัวโครงการและอบรมเชิงปฏิบัติการ "โครงการขยายผลการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรใน ภาคอุตสาหกรรม ระยะที่ 7" พร้อมเปิดตัว 31 องค์กรนำร่อง มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม

สถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เปิดตัวโครงการและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) พร้อมทั้งการอบรมเชิงปฏิบัติการ "โครงการขยายผลการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ระยะที่ 7" ในวันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ณ ห้องปาริชาต โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 กรุงเทพฯ เพื่อขยายผลให้มีการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม และวิเคราะห์แหล่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร (Hot Spot) และหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรภาคอุตสาหกรรม อีกทั้งจัดให้มีการทวนสอบและรับรองผลการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์การภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมโครงการและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบทวนสอบ โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร่วมเป็นองค์กรนำร่อง 31 แห่ง

ประเด็นปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้นนั้น ภาคอุตสาหกรรมถือเป็นตัวแปรสำคัญที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหากทำการพิจารณาแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593 ที่ใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการเชิงลึกเพื่อขับเคลื่อนการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่ภาครัฐกำหนดไว้นั้น พบว่า มีกรอบแนวทางในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ กรอบแนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ พร้อมกันนี้ยังได้จัดทำ "แผนที่นำทางของประทศไทยเพื่อบรรลุข้อเสนอการมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกภายหลังปี พ.ศ 2563 (Intended Nationally Determined Contribution: INDC)" กำหนดมาตรการและเป้าหมายลดก๊าซเรือนของประเทศที่มีภาคอุตสาหกรรมเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญ อาทิ มาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้า มาตรการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เป็นต้น

นายไพรัตน์ ตังคเศรณี รองประธานคณะกรรมการบริหาร สถาบันสิ่งแวดล้อม-อุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า "ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนั้น ได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยทำการผลักดันนโยบายให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เข้าร่วมประชุมหารือแนวทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งเสริมและสนับสนุนผ่านโครงการต่าง ๆ ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินงานโครงการฯ ตามมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกที่ภาครัฐกำหนด เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถนำไปประยุกต์ให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่าง ๆ ของภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน

อีกหนึ่งการดำเนินงานที่สำคัญยิ่งที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมนำไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาโลก-ร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนคือ โครงการส่งเสริมให้มีการคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกที่เป็นเครื่องมือในการบ่งชี้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตนเอง ทำให้ทราบถึงแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีนัยสำคัญ สามารถวิเคราะห์หาแนวทางบริหารจัดการที่เหมาะสมนำไปสู่การจัดทำแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ซึ่งในปี 2561 นี้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยยังคงดำเนินงานต่ออย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ผ่านโครงการขยายผลการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ระยะที่ 7 ซึ่งในปีนี้มีโรงงานนำร่องที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 31 แห่ง มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ในนามของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผมขอขอบคุณองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ และเทคนิควิชาการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนที่ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และสามารถช่วยลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายของประเทศไทยที่มีการกำหนดไว้ ท้ายสุดนี้ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้เกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดตัวโครงการ และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ พร้อมทั้งการอบรม เชิงปฏิบัติการในวันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินโครงการครั้งนี้จะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ" นายไพรัตน์ กล่าว

ด้านนางสาวพงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า "ผลกระทบที่เกิดจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันนั้น ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการสะสมของปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากกิจกรรมทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ ไม่ว่าจะการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ในปริมาณที่มากขึ้น การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่าง ๆ ในภาคการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม และการขนส่ง การตัดไม้ทำลายป่าจำนวนมหาศาล เพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ ซึ่งปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่มากเกินนี้จะส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) คือ การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ มากมายต่อทุกประเทศบนโลก อาทิ ทำให้เกิดการละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น มีช่วงฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้น ฤดูหนาวที่สั้นลง ภาวะแห้งแล้งในช่วงฤดูแล้งจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ช่วงฤดูฝนจะมีฝนตกชุกเพิ่มขึ้น สภาวะอากาศแปรปรวนและสภาพอากาศรุนแรง เป็นต้น

ในส่วนของประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แปรปรวนก่อให้เกิดอุทกภัย หรือภัยแล้งที่รุนแรง เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่อุตสาหกรรม และพื้นที่ลุ่มน้ำ เป็นต้น โดยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ

จากปัญหาดังกล่าว ทั่วโลกจึงหันมาร่วมมือในการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยจัดตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการศึกษาให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะทำการจัดการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties: COP) เพื่อใช้เป็นเวทีในการเจรจา กำหนดข้อตกลงต่าง ๆ ร่วมกันในกลุ่มประเทศสมาชิก โดยล่าสุดได้มีการจัดประชุมฯ เป็นสมัยที่ 23 (COP 23) ขึ้นที่เมืองบอนน์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่ 6-17 พฤศจิกายน 2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจาท่าที จัดทำกฎ ระเบียบ กติกา และกรอบการดำเนินงานใหม่ ๆ รวมทั้งหารือความก้าวหน้า ปัญหา อุปสรรค และแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ซึ่งการประชุมครั้งนี้เน้นหารือแนวทางปฏิบัติ และข้อกำหนดการบังคับใช้ความตกลงปารีส ก่อนเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ หลังพิธีสารเกียวโตจะหมดอายุลงในปี 2563 เพื่อผลักดันการลดก๊าซเรือนกระจก และรักษาอุณหภูมิของโลกให้เพิ่มขึ้น ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส

สำหรับประเทศไทยนั้น เนื่องจากเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มนอกภาคผนวกที่ 1 (กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา) จึงไม่มีพันธกรณีในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็ตระหนักและให้ความสำคัญในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าที่อนุสัญญา UNFCCC ได้กำหนดไว้ จึงได้มีการแสดงเจตจำนงในการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ (NAMAs) โดยตั้งเป้าหมายจะลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 7 ถึง 20 ในภาคพลังงาน และภาคการขนส่ง ให้ต่ำกว่าระดับการปล่อย ในการดำเนินงานตามปกติภายในปี 2563 และหลังจากนั้นจะทำการลดก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนร้อยละ 20-25 ภายในปี 2563" นางสาวพงษ์วิภา กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version