ขอพิจารณาอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 187,675,687 บาท จากเดิม 1,266,554,542 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,078,878,855 บาท และขอพิจารณาเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จาก 1,078,878,855 บาท เป็น 1,539,209,053 บาท ด้วยการออกหุ้นสามัญจำนวน 460,330,198 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ขอพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ที่จะนำเสนอให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 300,000,000 หุ้น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดคำนวณแบบถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักย้อนหลัง 7 วันและวันกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต้องย้อนหลังไม่เกินกว่า 3 วันทำการก่อนวันแรกที่เสนอขายต่อนักลงทุน ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาและตกลงกับนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและฐานะทางการเงินที่ดี ที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ (synergy) โดยบริษัทฯจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับลงทุนดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนการจัดส่งหนังสือนัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 ไปยังผู้ถือหุ้น
ขอพิจารณาจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ Macquarie Bank Limited ซึ่งเป็นการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ตามที่ได้รับอนุมัติแล้วจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560
และจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้มีมติว่า การรับรองการเข้าลงทุนเพิ่มเติมใน GEP นั้น จะต้องมีมติอนุมัติ จากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27เมษายน 2561 ก่อนจึงจะสามารถดำเนินการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนได้ โดยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 นั้น ทางบริษัทฯจะขอพิจารณาอนุมัติการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อรองรับการเข้าลงทุนเพิ่มเติมใน บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (Green Earth Power (Thailand) Co., Ltd.) หรือ GEPT โดยบริษัทฯจะทำการชำระการซื้อหุ้นและชำระค่าหุ้นด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯให้เป็นการแลกเปลี่ยน โดยจะเข้าซื้อหุ้นสามัญของ GEPT จำนวน 188,634 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของหุ้นสามัญทั้งหมดของ GEPT ในราคาหุ้นละ 1,021.35 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิมของ GEPT รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 192,661,336 บาท
ด้านนายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการบริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่บริษัทและผู้ถือหุ้น อันดับแรกคือในฐานะที่บริษัทฯเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าที่ประเทศเมียนมาร์นั้น บริษัทฯจะนำเงินทุนที่ได้ ไปใช้ในการชำระหนี้จากตั๋วแลกเงิน(B/E) ที่กู้ยืมมาใช้สำหรับการก่อสร้างครั้งนี้ ซึ่งการลดภาระทางการเงินดังกล่าวจะส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในปีนี้และต่อเนื่องไปอีก 4ปี จนถึงปี 2564 ตามระยะการก่อสร้างของโครงการที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 เฟส
อันดับที่สองคือเป็นผลดีต่อกลุ่มผู้ถือหุ้นเก่าเพราะการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนโดยการแลกหุ้นกับ GEPT จะทำให้บริษัทฯถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 27% และส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนการถือหุ้น โดยรายได้จากการเข้าถือหุ้น GEPT จะเป็นรายได้ที่มั่นคงและมีระยะเวลานานถึง 30 ปี ทั้งนี้โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จและ COD ได้ช่วงกลางปีนี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบอัตราส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้น ต่อจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน (EPS) แล้วนั้น พบว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะสูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งบริษัทฯและผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ