นายภาณุ ศีติสารประธานกรรมการบริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTCเปิดเผยว่า ย้อนหลังไปเมื่อปี 2557 PSTC ได้ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ Maiและได้ประกาศวิสัยทัศน์ว่า "เราจะเป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและพลังงานของประเทศ" ทำให้ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ได้เติบโตอย่างรวดเร็วจากสินทรัพย์ 700 ล้านบาทเพิ่มขึ้นมากว่า 5,000 ล้านบาทในเวลา 3 ปีจากเดิมมีพนักงาน 80 กว่าคนปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 350 คน นอกจากนี้แล้วยังมีธุรกิจครอบคลุมในด้านพลังงานและไฟฟ้า และการบริหารจัดการด้านพลังงานเกือบครบทุกประเภท
สำหรับในปี 2561จะเป็นปีที่ PSTC ก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะมีนโยบายในการสร้างความเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคตโดยมีเป้าหมายที่จะเติบโตในธุรกิจ 3 ด้านคือ
1.ธุรกิจออกแบบและจำหน่ายติดตั้ง ระบบสำรองไฟฟ้า ธุรกิจออกแบบติดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ธุรกิจออกแบบติดตั้งระบบจ่ายกระแสไฟฟ้า (sub-station)
2.ธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน vspp และ spp รวมทั้งการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศในอนาคตอันใกล้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าหรือPPA อยู่ประมาณ 70 MW โดยมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปแล้ว 30 MW และกำลังอยู่ระหว่างทยอยสร้างเพื่อขายไฟฟ้าเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง
3. ธุรกิจจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ LPG, CNG และ LNG รวมทั้งการขนส่งน้ำมันทางท่อซึ่งได้เข้าไปร่วมทุนกับ บริษัทบิ๊กแก๊ส เทคโนโลยี จำกัด หรือ BGT ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ PSTC ถือหุ้น 51% โดยตั้งเป้าหมายรายได้ที่จะเติบโตในปี 2561 มากกว่าเท่าตัว และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการขนส่งน้ำมันทางท่อภายใต้บริษัท Thai Pipeline Network หรือ TPN ซึ่งทาง บริษัทบิ๊กแก๊ส เทคโนโลยี จำกัดหรือBGT ถือหุ้นอยู่ 100% และกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน ตลอดจนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม EIA
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจร่วมทุนกับบริษัท บิ๊กแก๊ส เทคโนโลยี จำกัด(BGT) เนื่องจากเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจขายส่งก๊าซธรรมชาติทุกประเภทซึ่งมีใบอนุญาตค้าตามมาตรา7ตามพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงพ.ศ.2543 ซึ่งมีอัตราการเติบโตในธุรกิจขายส่งก๊าซธรรมชาติเป็นอย่างมากอีกทั้งยังดำเนินธุรกิจก่อสร้างซ่อมบำรุงดูแลรักษาสถานีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของPTT(EPCms)ซ่อมแซมและทดสอบรถขนส่งก๊าซธรรมชาติงานจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับ LPGDepot ณ คลังน้ำมันและก๊าซบางประกง
ในส่วนของธุรกิจขายส่งก๊าซธรรมชาติในปี 2558 BGT มียอดขายกว่า100 ล้านและเติบโตอย่างรวดเร็ว ปี 2559 มียอดขายกว่า 800 ล้าน โดยในปี 2560 คาดว่าจะมียอดขายประมาณ1,250 ล้านบาท สำหรับปี 2561 ประมาณการว่ายอดขายจะโต 100 % ประมาณ 2,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้ที่จะเกิดจากโครงการที่บริษัทมีอยู่และกำลังจะดำเนินการในปีนี้ หลังจากนั้นยอดขายน่าจะโตขึ้นประมาณ 40-50% นอกจากนี้แล้ว BGTยังมีบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวี 2 สถานี ซึ่งเป็นสถานีบริการที่ตั้งอยู่แนวท่อส่งก๊าซของปตท.ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของการบริการที่ได้อย่างต่อเนื่องไม่มีปัญหาในด้านการขนส่ง เนื่องจากไม่ได้ใช้รถในการขนส่งแต่เป็นการขนส่งผ่านท่อส่งก๊าซโดยตรง ทั้งสองสถานีนี้เป็นสถานีขนาดใหญ่มีพื้นที่มากสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ปริมาณการขายทั้งสองสถานีค่อนข้างสูงยอดขายในแต่ละปีทั้งสองสถานีรวมกันจะอยู่ประมาณ 445 ล้านบาท นอกจากนี้แล้ว BGTยังมีธุรกิจก่อสร้าง ซ่อมบำรุง ดูแลรักษาสถานีก๊าซธรรมชาติซึ่งได้สัญญาในการบำรุงรักษาสถานีบริการก๊าซ NGV ของปตท.PTT(EPCms) ครอบคลุมจำนวนสถานี 50%ทั่วประเทศ
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ใหม่คือ LNGซึ่งเป็นก๊าซธรรมชาติในรูปแบบของเหลวซึ่งปตท.นำเข้ามาเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ทดแทนLPGในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะขนส่งได้ในปริมาณมากกว่าและให้ค่าความร้อนสูงกว่าและเป็นก๊าซที่บริสุทธิ์กว่า ซึ่งประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้จะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย BGTจะเป็นคู่ค้ารายแรกๆ ของปตท.ในการนำก๊าซLNGไปขายให้กับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นโครงการใหญ่ที่เราจะให้ความสนใจในการดำเนินการในปีนี้เนื่องจากเป็นโครงการที่จะสามารถสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายภาณุเปิดเผยเพิ่มเติมถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้าว่า บริษัท ตั้งเป้าหมายที่จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจทั้ง 3 ด้านของบริษัท โดยธุรกิจแรกเติบโตอย่างน้อยปีละ 20-25% และตั้งเป้าว่าจะมี PPA ให้ครบ 100 MW ภายในปีนี้ และจะมี PPA ในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพิ่มเป็น 200 MW ภายใน 3 ปีข้างหน้า ในส่วนของ BGT นั้นบริษัทตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งของการขาย Gas ทุกประเภทให้ได้ 7% ของส่วนแบ่งตลาดรวมใน 3 ปี และหากการลงทุนในโครงการก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันส่วนขยายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคุ้มค่าในการลงทุน และไม่ติดปัญหาในการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม EIA ธุรกิจนี้น่าจะสร้างผลตอบแทนของการลงทุนที่ดีต่อไปในอนาคต นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะนำเอา BGT เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปภายใน 3 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ด้วยวิสัยทัศน์ของท่านประธานเจ้าหน้าที่บริหารที่ได้กล่าวไว้ในวันเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่า "เราจะเป็นผู้นำในด้านการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าและพลังงานของประเทศ" บริษัทมีผู้บริหารรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาร่วมพัฒนาในแต่ละด้าน บริษัทฯมีความเชื่อมั่นว่าธุรกิจที่ทางกลุ่มบริษัทกำลังก้าวเดินต่อไปจะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนโดยมีเป้าหมายที่จะมีสินทรัพย์รวมมากกว่า 20,000 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้านี้