นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากจุดต่ำสุดหลังเกิด Financial Crisis ในปี 2552 ซึ่งการฟื้นของเศรษฐกิจจะส่งผลต่อทิศทางเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตึงตัวขึ้น ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน
"บลจ.วรรณ มองว่าปีนี้ อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยคาดการณ์การปรับตัวขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อยู่ที่ 2-4 ครั้ง ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป ได้เริ่มทยอยลดปริมาณเงินในระบบและคาดว่าน่าจะถอนมาตรการ QE สิ้นปีนี้ ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีหลัง" นายพจน์กล่าว
อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น บลจ.วรรณ มองว่า จะเอื้อให้รายรับของหุ้นกลุ่มการเงินทั่วโลกจะมีโอกาสการเติบโตตามการอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยเชิงมหภาค อาทิ ค่าธรรมเนียม ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(Net Interest rate) จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงิน นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายทางตลาดการเงินโดยเฉพาะสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ต้นทุนด้านกฎหมายและภาษีนิติบุคคลของกลุ่มสถาบันการเงินลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อโอกาสในการขยายตัวของธุรกิจ
นายพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแง่ของการลงทุนยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อโอกาสการลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินในต่างประเทศ โดยระหว่างวันที่ 31 ม.ค. – 13 ก.พ. 61 บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ โกลบอล ไฟแนนเชียล (ONE-GLOBFIN) ลงทุนในกองทุน Black Rock Global – World Financials Fund เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของหุ้นสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันประเมินว่า ค่า P/E ของหุ้นกลุ่มการเงินอยู่ที่ประมาณ 13-14 เท่า โดยคาดการณ์การเติบโตของหุ้นในกลุ่มการเงินและปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจ หุ้นกลุ่มการเงินยังมีความน่าสนใจจากระดับราคาที่ยังไม่สูงมากเทียบกับโอกาสการเติบโตจากรายได้ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
กองทุน BGF World Financial ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีจากปัจจุบันอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น(ROE) ที่ฟื้นตัวและส่งผลให้ประมาณการค่า PE มีแนวโน้มปรับตัวลงจาก Earning ที่มีการเติบโต ขณะที่ความเสี่ยงลดลง เนื่องจากปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีทุนสำรองที่คาดว่าสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนจากตลาดการเงินในระดับสูง รวมถึงมีขนาดสินทรัพย์ที่เติบโตขึ้น ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องได้หากเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยมีการเติบโตของ Asset Value อยู่ในระดับที่ดี ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา Asset Value ของธนาคารพาณิชย์กลุ่มยูโรโซนอยู่ที่ระดับ 7-8% ขณะที่ Asset Value ของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 4-5%
นายพจน์ กล่าวเสริมว่า กองทุน BGF World Financial ยังมีการกระจายการลงทุน (Diversify) ในกลุ่มสถาบันการเงินที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นทั้งหุ้นขนาดใหญ่ กลางและเล็ก คัดเลือกหุ้นดีในพอร์ตการลงทุนประมาณ 30-50 บริษัท โดยปัจจุบันมีน้ำหนักลงทุนในหุ้นธนาคารพาณิชย์สัดส่วนประมาณ 67% IT service 3.64% และ Consumer Finance 3.75% ขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุน BGF World Financial อยู่ในระดับที่ดีอย่างสม่ำเสมอผลตอบแทนย้อนหลัง ในช่วง 5 ปี 3 ปี และ 1 ปีที่ผ่านอยู่ที่ระดับ 11.18% 7.93% และ 35.86% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐาน MSCI ACWF/FINANCIAL อยู่ที่ระดับ 12.22% 8.14% 25.41% ทั้งนี้ กองทุน ONE-GLOBFIN จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีจากลุ่มธุรกิจการเงิน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยคำแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ ในหุ้นต่างประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 35% ซึ่งส่วนของหุ้นการเงินในต่างประเทศถือว่ามีความน่าสนใจเป็นทางเลือกการลงทุน