สำหรับวัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้สำหรับชำระหนี้ที่บริษัทฯ ได้กู้ยืมจากแหล่งเงินกู้ยืมระยะสั้น รวมไปถึงการนำเงินไปใช้ในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้ามินบูที่ประเทศเมียนมาร์ ในกรณีที่บริษัทฯ ได้รับเงินเพิ่มทุนจากการเพิ่มทุนไม่เพียงพอตามแผนการใช้แหล่งเงินทุน บริษัทฯ จะจัดหาแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมมาทดแทน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจัดหาเงินกู้ยืมได้ตามความจำเป็นต่อไป
นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหาร กล่าวว่า ปี 2017 ที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ได้ก้าวข้ามผ่าน BE Crisis ที่เป็นปัญหาระดับชาติมาได้ ด้วยทีมผู้บริหารของบริษัทฯ โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารภายใน เพื่อใช้รับมือและแก้ปัญหากับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน อีกทั้ง ยังกล่าวถึงการเพิ่มทุนในครั้งว่านี้ ถือเป็นการร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้บริษัทเดินตามแผนที่วางไว้คือการสร้างโรงไฟฟ้าที่เมียรมาร์และโครงการอื่นๆของบริษัทฯ ให้สำเร็จลุล่วง และทางบริษัทมั่นใจว่าโครงการจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงกลางปี 2018 ได้ตามคาดการไว้
นอกจากนี้ คณะกรรมการได้อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนเพิ่มใน GEP อีก 15% จากเดิม 12% ซึ่งจะทำให้ VTE ถือหุ้นใน GEP ทั้งหมด 27% นั้น เนื่องจาก VTE มั่นใจในความแข็งแกร่งของโครงการ และเมื่อโครงการสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้นั้น จะทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจนให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ถึง 30 ปี อย่างแน่นอน