นายทิพย์ ดาลาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ iii เปิดเผยว่า "ในปี 2561 นี้ บริษัทฯ คาดว่าจะเห็นภาพการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ในอัตราประมาณ 20% จากกลยุทธ์การขยายทุกธุรกิจโลจิสติกส์ ด้วยงบประมาณลงทุนและเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจต่อเนื่องจากปลายปี 2560 กว่า 260 ล้านบาท เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ และการรองรับการขยายตัวของการค้าของไทย รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจของภาครัฐอีกด้วย ส่งผลให้บริษัทฯ คาดว่าจะมีผลกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย
บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Freight Business) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯประกอบด้วยธุรกิจการเป็นตัวแทนสายการบิน โดยในปีนี้สายการบินไทยแอร์เอเชียและไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ได้มีการขยายเส้นทางและเพิ่มจำนวนเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปลดล็อค มาตรฐานสนามบินนานาชาติของ ICAO ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายเส้นทางการบินอย่างแน่นอน
สำหรับธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศแบบขายส่งนั้น จะมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยโฟกัสที่กลุ่มอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากประเทศจีนและประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่มีศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฮับในการขยายธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ
ในส่วนของการให้บริการภายในภาคพื้นอากาศยาน บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวคลังสินค้าระหว่างประเทศ(International Air Cargo Terminal) ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และเริ่มให้บริการตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ด้วยพื้นที่ให้บริการขนาด 5,000 ตารางเมตร ที่ได้รับสัมปทานจาก บมจ. ท่าอากาศยานไทย โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 80% เนื่องจากมีสายการบินไทยแอร์เอเชียและไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ซึ่งมีจำนวนเที่ยวบินที่สนามบินดอนเมืองมากที่สุดเป็นลูกค้าหลัก โดยธุรกิจคลังสินค้าทางอากาศนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างธุรกิจแอร์ คาร์โก้ของ iii เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงจากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนอกจากสายการบินไทยแอร์เอเชียและไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ที่เป็นลูกค้าหลักแล้วนั้น บริษัทฯ ยังให้บริการ สายการบินชั้นนำ อาทิ สายการบินนกสกู๊ต และสายการบินอื่นๆ ที่มีเส้นทางการให้บริการในสนามบินดอนเมือง
อีกด้วย โดยบริษัทฯ คาดว่า จะมองหาโอกาสในการเปิดคลังสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศเพิ่มเติมในสนามบินนานาชาติอื่นๆ ต่อไป
นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลและทางบก (Sea Freight and Inland Transport Business) จะมีปริมาณการขนส่งสินค้ากลับมาเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% จากการขยายตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นตัวแทนสายการเดินเรือ CK LINES ของประเทศเกาหลีใต้แล้ว ล่าสุด iii ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในประเทศไทยของสายการเดินเรือ ริเชา (Rizhao Shipping Lines) ซึ่งเป็นสายการเดินเรือรัฐวิสาหกิจของเมืองริเชา อยู่ในมณฑลซานตง ทางตอนเหนือของประเทศจีน โดยเริ่มแรกมีเส้นทางการให้บริการครอบคลุม ในประเทศจีน (ริเชา เซี่ยงไฮ้) เวียดนาม (โฮจิมินห์) และไทย (ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือคลองเตย) ถือเป็นช่องทางในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ อีกด้วย
ด้านขนส่งสินค้าแบบไม่เต็มตู้ (LCL) นั้น บริษัทฯ คาดจะมียอดขายเติบโตประมาณ 30% จาก ECU Worldwide (Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุน โดยตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคอินโดจีน (Indochina Hub)
นายทิพย์ ดาลาล กล่าวเสริมว่า "ด้านกลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย (Chemical & Specialty Logistics Business) นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญ มีบุคลากรที่มีความรู้และความชำนาญเฉพาะด้าน มีมาตรฐานระดับสากล ทำให้เป็นที่ไว้วางใจแก่ลูกค้าทั้งรายเก่าและรายใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ บริษัทฯ กำลังดำเนินการขยายคลังสินค้าเพิ่มขึ้นกว่า 3,000 ตร.ม. เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ในปีนี้จะมีพื้นที่คลังสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตรายให้บริการไม่ต่ำกว่า 25,000 ตร.ม.
นอกเหนือจากคลังสินค้าเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตรายที่ให้บริการในโซนอุตสาหกรรม บริษัทฯ ยังเตรียมขยายพื้นที่คลังสินค้าเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในมากขึ้น
ในส่วนของกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และการจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management Business) บริษัทฯ จะเน้นการขยายการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย โดยใช้จุดแข็งของบริษัทในกลุ่ม และในส่วนของการจัดการโลจิสติกส์จะเน้นการบริหารต้นทุนและขยายฐานลูกค้าใหม่
สำหรับผลประกอบการของช่วง 9 เดือนแรกปี 60 นั้น เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 59 และมีกำไรขั้นต้น 414 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 59 ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 45% เป็น 110 ล้านบาทจากกำไรสุทธิ 76 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 59 จึงคาดการณ์ว่าผลประกอบการของปี 2560 จะเติบโตสูงขึ้นกว่าปีก่อน เนื่องจากมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจโลจิสติกส์สำหรับเคมีภัณฑ์และสินค้าอันตราย อีกทั้งยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นอีกด้วย