นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank) แถลงผลการดำเนินงานปี 2560 ของกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ว่า ภาพรวมยังคงรักษาผลประกอบการได้ดี โดยบริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิจำนวน 2,603 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.4 ลดลงเนื่องจากมีกำไรจากเงินลงทุนซึ่งเป็นรายการพิเศษลดลง แต่หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 11.1 จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.0 และเงินปันผลรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6 ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) เหลือร้อยละ 41.9
สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 233,111 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนร้อยละ 9.9 เป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อ ร้อยละ 10.2 โดยมีสัดส่วนโครงสร้างสินเชื่อ Corporate ร้อยละ 69 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ SMEs อยู่ที่ร้อยละ 17 และร้อยละ 14 ตามลำดับ มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.88 ของเงินให้ สินเชื่อรวม สะท้อนให้เห็นถึงการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสำรองพึงกัน ตามเกณฑ์ ธปท. ที่ร้อยละ 187 และมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ร้อยละ 110 ถือว่าเพียงพอรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจในอนาคต
สำหรับการดำเนินธุรกิจ ยังคงมุ่งเน้นความเชื่อมโยงกันของบริษัทในกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โดยการนำผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทในกลุ่มมาให้บริการที่ครบวงจร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า และจากการที่ กลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ผนึกกำลังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบกับ CTBC BANK ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์และการทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม รวมทั้งการขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ผ่านเครือข่ายของ CTBC BANK
"ธนาคารได้ปรับตัวเพื่อรองรับระบบดิจิตอลแบงกิ้งอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า อย่างครอบคลุมและครบวงจร ซึ่งจะทำให้มุ่งสู่การเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน"
สำหรับกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินงานปี 2561 นั้น นางศศิธร กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 10-15 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ ที่เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวแตะระดับร้อยละ 4
"ธนาคารมีความระมัดระวังในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ โดยจะควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL-to-Loan Ratio) ไม่ให้เกินร้อยละ 2.0"
ขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตของบริษัทในกลุ่มการเงิน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินใหม่ๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิตอล เข้ามาเสริมประสิทธิภาพและศักยภาพด้านการบริการ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับลูกค้า และดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการกับธนาคารเป็นหลัก (Main Bank) รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือครองผลิตภัณฑ์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มให้มากขึ้น
- การขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth เพื่อตอบสนองความต้องการในการลงทุนที่หลากหลายของ กลุ่มลูกค้า Wealth ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยผสานความเชี่ยวชาญของทีมที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลของบริษัทในกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เข้ากับฐานลูกค้าและช่องทางการให้บริการของธนาคาร
- การเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิตอล (Digital Transformation) เพื่อให้ลูกค้าประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายและสะดวกต่อการใช้บริการ และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการดำเนินแผนงานสู่ Digital Economy ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อต้นทุนในระยะยาว
- การขยายฐานสินเชื่อ เงินฝาก และการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยการเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่ชัดเจน (Customer Segmentation) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
สำหรับเครือข่ายสาขาของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปัจจุบันมี 133 สาขา แบ่งเป็นสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 47 สาขา และสาขาในภูมิภาค 86 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 และร้อยละ 65 ตามลำดับ
"ธนาคารยังไม่มีแผนปรับลดสาขาและพนักงาน เนื่องจากจำนวนสาขาที่มีอยู่มีความเหมาะสมต่อ การให้บริการ และโดยธนาคารจะปรับรูปแบบการให้บริการของสาขาให้มุ่งเน้นการบริการทางการเงินที่หลากหลายและครบวงจรแบบ One Stop Service คือ การให้บริการทางการเงินของธนาคาร การให้บริการด้านหลักทรัพย์ และการให้บริการด้านผลิตภัณฑ์กองทุนรวม"
ขณะเดียวกันธนาคารได้พัฒนาระบบการลงทุนผ่าน Mobile Application (Wealth Digital Platform) เพื่อให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการการลงทุนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเปิดให้บริการในไตรมาส 2 นี้ ตลอดจนการพัฒนาศักยภาพและองค์ความรู้ให้กับพนักงานสาขา เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ตลอดจนเป็นนักวางแผนการเงินให้ลูกค้า อีกทั้งให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามแนวทางการกำกับดูแลด้านการให้บริการอย่างมีคุณภาพและเป็นธรรม (Market Conduct) ตามที่ทางการกำหนด เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการลงทุนและการออมสูงสุด
- การออกโปรโมชั่น หรือการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดธนาคารออกแคมเปญฉลองรับเทศกาลตรุษจีน ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ 3 เดือน "ทรัพย์เพิ่มพูน" รับดอกเบี้ยพิเศษสูง 1.68% ต่อปี เริ่มวันนี้ - 31 มีนาคม 2561 หรือจนกว่ายอดเงินฝากในโครงการครบ 2,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าใหม่เปิดบัญชีด้วยเลขมงคลเริ่มต้นเพียง 88,888 บาท ส่วนลูกค้าปัจจุบันหากจะเปิดบัญชี จะต้องเปิดบัญชีคู่กับการซื้อผลิตภัณฑ์ประกัน หรือผลิตภัณฑ์กองทุน พร้อมเสริมความมั่งคั่งด้วย "น้ำแห่งความร่ำรวย" รับฟรีที่ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ (ตั้งแต่วันนี้ - 15 กุมภาพันธ์ 2561)
ด้าน นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (LH Fund) กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการกองทุนปี 2560 LH Fund มีขนาดกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการ (Asset Under Management หรือ AUM) มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 59,778 ล้านบาท แบ่งเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 51,449 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มีขนาดกองทุน อยู่ที่ 5,683 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 59 จากปี 2559 และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) มีขนาดกองทุนอยู่ที่ 2,645 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตร้อยละ 15
LH Fund มีกองทุนที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีและยังได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar (ณ สิ้นเดือน ธ.ค. 60) ได้แก่
- กองทุนเปิด แอล เอช ตราสารหนี้ ชนิดจ่ายเงินปันผล (LHDEBT-D)
- กองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ล (LHFL)
- กองทุนเปิด แอล เอช เฟล็กซิเบิ้ลเพื่อการเลี้ยงชีพ (LHFLRMF)
"สำหรับปี 2561 LH Fund ได้วางเป้าหมายที่จะผลักดันขนาดกองทุนภายใต้การบริหารจัดการให้ เติบโตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 40 และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในอุตสาหกรรมให้มากขึ้น โดยอาศัยความเชี่ยวชาญการบริหารจัดการภายใต้กลยุทธ์ Asset Allocation ที่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดีในปี 2560 ที่ผ่านมา"
ขณะที่ นางสาวเยาวลักษณ์ อร่ามทวีทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Securities) กล่าวว่า ในปี 2560 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวขึ้น ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,753.71 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวม 13.66% และอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,753.73 จุด ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2537 สำหรับ ปัจจัยบวกหลัก มาจากนโยบายของรัฐบาล นำโดยการลงทุนขั้นพื้นฐานหลายโครงการ ตามด้วยการลงทุนในโครงการ EEC การคาดหวังต่อสถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่น่าจะมีความชัดเจนขึ้น การมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการที่สหรัฐอเมริกา มีร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีใหม่ ส่งผลให้ตลาด มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดทุนมากขึ้น
ด้านผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมามีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 30.0 เมื่อเทียบกับ ปี 2559 โดยรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 58.2 และรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 41.0
บริษัทได้ขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการของลูกค้า การปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้า รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า จึงส่งผลให้บริษัทได้รับการยอมรับจากลูกค้า ทำให้ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ปี 2561
- การยกระดับระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับยุค FINTECH โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถของเทคโนโลยี Platform เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการใช้บริการ
- การปรับปรุงกระบวนการทำงานในทุกขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในงานสนับสนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและให้บริการลูกค้า
- การพัฒนาคุณภาพของบุคลากร เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ ให้พนักงานมีทักษะด้านดิจิตอลมากขึ้น สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ
- การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกลุ่มการเงิน โดยใช้ศักยภาพเชิงบวกของกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเสนอบริการและผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความหลากหลายและมีความเฉพาะตัว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม มีช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลายผ่านฐานลูกค้าสาขาธนาคาร
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับแนวโน้มโครงสร้างรายได้ของธุรกิจหลักทรัพย์ที่เริ่มเปลี่ยนไป