ประเทศไทย โดยพิจารณาข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ๙ แหล่งข้อมูล ซึ่งไทยได้คะแนนเท่าเดิม ๒ แหล่ง คะแนนเพิ่มขึ้น ๓ แหล่ง คะแนนลดลง ๓ แหล่ง และอีก ๑ แหล่งไม่ปรากฏคะแนน ดังนี้
๑. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนเท่ากับปีก่อน มี ๒ แหล่งข้อมูล คือ
๑.๑ International Country Risk Guide (ICRG) : Political Risk services ได้ 32 คะแนน โดย ICRG เป็นองค์กรแสวงหากำไร ให้บริการวิเคราะห์วิจัยและจัดอันดับสภาวะความเสี่ยงระดับประเทศ ประเมินความเสี่ยงด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ และด้านการเงิน ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ใช้ข้อมูลรายงานความเสี่ยงด้านการเมือง มาประกอบการพิจารณาให้ค่าคะแนน ทั้งนี้ การคอร์รัปชัน
เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ICRG มุ่งประเมินการคอร์รัปชันในระบบการเมือง โดยเฉพาะรูปแบบทุจริต ที่นักธุรกิจมีประสบการณ์ตรงและพบมากที่สุด นั่นคือการเรียกรับสินบน การเรียกรับเงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้า/ส่งออก การประเมินภาษี รวมถึงระบบอุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางธุรกิจกับการเมือง โดย ICRG มีการประเมินและเผยแพร่ผลประมาณเดือนสิงหาคมของทุกปีคะแนนที่เท่าเดิม น่าจะเป็นผลมาจาก ICRG เน้นความเป็นประชาธิปไตย รัฐบาลและฝ่ายบริหารต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ ซึ่งประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในเรื่องนี้เหมือนปีที่ผ่านมา
๑.๒ Economist intelligence Unit (EIU) : Country Risk Rating ได้ 37 คะแนน โดย EIU วิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องเผชิญ ได้แก่ ความโปร่งใสในการจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ การใช้ทรัพยากรของราชการ/ส่วนรวม การแต่งตั้งข้าราชการจากรัฐบาลโดยตรง มีหน่วยงานอิสระในการตรวจสอบการจัดการงบประมาณของหน่วยงานนั้นๆ มีหน่วยงานอิสระ ด้านยุติธรรมตรวจสอบผู้บริหาร/ผู้ใช้อำนาจ ธรรมเนียมการให้สินบน เพื่อให้ได้สัญญาสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ EIU มีการสำรวจเก็บข้อมูลประมาณเดือนกันยายนของทุกปีคะแนนที่เท่าเดิม น่าจะเป็นผลมาจากว่าถึงแม้ไทยจะได้รับการจัดอันดับการเปิดเผยงบประมาณภาครัฐดีขึ้น แต่ด้านการใช้จ่ายงบประมาณยังปรากฎเกี่ยวกับปัญหาการใช้จ่ายงบประมาณไม่ถูกต้องอยู่เป็นระยะ
๒. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากปีก่อน มี ๓ แหล่งข้อมูล คือ
๒.๑ World Economic Forum (WEF) : Executive Opinion Servey ได้ ๔๒ คะแนน (เพิ่มขึ้น ๕ คะแนน) โดย WEF สำรวจมุมมองของนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกี่ยวกับปัจจัยที่เป็นอุปสรรคสูงสุดในการทำธุรกิจ 5 ด้าน คือ 1.การคอร์รัปชัน 2.ความไม่มั่นคงของรัฐบาล/ปฏิวัติ 3.ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย 4.ระบบราชการที่ไม่มีประสิทธิภาพ 5.โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ไม่เพียงพอว่าแต่ละปัจจัยเป็นอุปสรรคเพิ่มขึ้น เท่าเดิมหรือลดลง ทั้งนี้ WEF จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม – มิถุนายน ของทุกปี คะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากอียู มีความสนใจฟื้นความสัมพันธ์กับไทย เนื่องจากเห็นว่าไทยมีทิศทางปรับตัวในทางที่ดีขึ้นหลายด้าน นักลงทุนต่างชาติมีทัศนคติดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก สาธารณูปโภค การชำระภาษี การทำสัญญาและการออกใบอนุญาต มีการลดขั้นตอนลง การเรียกรับเงินพิเศษจากผู้มาติดต่อขอรับบริการที่มีจำนวนลดลง ส่งผลให้ WEF จัดอันดับ ขีดความสามารถในการแข่งขันไทยได้คะแนน ๔.๗๒ (จากเดิม ๔.๖๔) ขึ้นมาอยู่อันดับที่ ๓๒ (จากเดิมที่ ๓๔) นอกจากนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารเกี่ยวกับ "ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคหรือปัญหามากที่สุดต่อการทำธุรกิจ" ปี ๒๕๖๐ ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนร้อยละ ๑๐.๑ เห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจลดลงจากปี ๒๕๕๙ ที่ร้อยละ ๑๑.๓
๒.๒ World Justice Project (WJP) : Rule of Law Index ได้ ๔๐ คะแนน (เพิ่มขึ้น ๓ คะแนน) โดย WJP ประเมินค่าความโปร่งใสโดยใช้หลักนิติรัฐ ซึ่งมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ ๑.รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกตรวจสอบได้ ๒.กฎหมายต้องเปิดเผย ชัดเจน มั่นคง ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ๓.กระบวนการทางกฎหมายมีความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ ๔.การตัดสินคดีต้องมีความเป็นธรรม มีจริยธรรม มีความเป็นกลาง ทั้งนี้ WJP มีการเก็บข้อมูลประมาณเดือนพฤษภาคม - กันยายนของทุกปี
การที่ได้คะแนนสูงขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากการประกาศจุดยืนของนายกรัฐมนตรีในการปราบปรามการทุจริต การเปิดทำการของของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษอย่างเป็นทางการ และประสิทธิภาพของการบังคับใช้พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม เพื่อให้เข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
๒.๓ Global Insight Country Risk Rating (GI) ได้ ๓5 คะแนน (เพิ่มขึ้น ๑๓ คะแนน) โดย GI ประเมินปัจจัยเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่ต้องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน การแทรกแซงของเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินธุรกิจ การให้สินบนและสิ่งตอบแทนสำหรับพิจารณาสัญญาและขอใบอนุญาต คะแนนที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากมุมมองและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อการแก้ไขปัญหาการทุจริตของรัฐดีขึ้น สถานการณ์ภายในประเทศเอื้ออำนวยต่อการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและบริษัทข้ามชาติด้วยหลายแนวทาง ได้แก่ การออกคู่มือมาตรการควบคุมภายในของนิติบุคคล ตามมาตรา ๑๒๓/๕ การออกมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล เป็นต้น
๓. แหล่งข้อมูลที่ไทย ได้คะแนนลดลงกว่าปีก่อนมี ๓ แหล่งข้อมูล คือ
๓.๑ Bertelsmann Foundation Transformation Index (BF) ได้ ๓๗ คะแนน (ลดลง ๓ คะแนน) โดย BF-BTI ใช้ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์และประเมินกระบวนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และดูความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ 1.ด้านการเมือง 2.ด้านเศรษฐกิจ
3.ด้านการจัดการของรัฐบาล ทั้งนี้ BF-BTI จะมีการเผยแพร่ผลทุก 2 ปี และข้อมูลที่เผยแพร่ครั้งล่าสุด คือ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ – ๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ คะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจาก BF-BTI วิเคราะห์กระบวนการทางการเมืองเป็นหลัก โดยแม้ว่ารัฐบาลสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย จัดระเบียบสังคม ทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติได้ผลดี แต่ขณะเดียวกันเรื่องการตรวจสอบกรณีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในรัฐบาล การเปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดี การจำกัดสิทธิสื่อมวลชน การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ยังเป็นจุดอ่อน
๓.2 International Institute Management Development (IMD) : World Competitiveness Yearbook ได้ 4๓ คะแนน (ลดลง ๑ คะแนน) โดย IMD นำข้อมูลสถิติทุติยภูมิและผลการสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ไปประมวลผลจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบ คือ 1.สมรรถนะทางเศรษฐกิจ 2.ประสิทธิภาพของภาครัฐ 3.ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ 4.โครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ IMD จะสำรวจข้อมูลประมาณเดือนมกราคม - เมษายนของทุกปีคะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจากการแก้กฎหมายหลายฉบับ แต่การบังคับใช้ยังขาดประสิทธิภาพ เช่น พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาของทางราชการ เป็นต้น
๓.๓ Varieties of Democracy Project (V-DEM) ได้ ๒๓ คะแนน (ลดลง ๑ คะแนน) โดย V-DEM วัดเกี่ยวกับความหลากหลายของประชาธิปไตย การถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งในปี ๒๕๕๙ มีการวัดในอาเซียนเพียง ๔ ประเทศ แต่ในปี ๒๕๖๐ มีการวัดในอาเซียน ๑๐ ประเทศคะแนนที่ลดลง น่าจะเป็นผลมาจากสถานการณ์ใกล้เคียงกับปีที่มา แต่ยังคงมีจุดอ่อนด้านการถ่วงดุลของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
สำหรับแหล่งข้อมูล Political and Economic Risk Consultancy (PERC) ซึ่งเป็นการสำรวจนักธุรกิจในท้องถิ่นและนักธุรกิจชาวต่างชาติในแต่ละประเทศ เพื่อให้คะแนนเกี่ยวกับระดับปัญหาการทุจริตในประเทศที่เข้าไปทำงานหรือประกอบธุรกิจว่าลดลง เพิ่มขึ้น หรือเท่าเดิมนั้น ไม่ปรากฏข้อมูลว่า TI ให้คะแนนไทยจากแหล่งนี้เท่าใด
ดังนั้น ในการดำเนินการเพื่อเพิ่มค่าดัชนีการรับรู้การทุจริตและการลดปัญหาการทุจริต จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนในสังคมต้องรวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต สร้างค่านิยมสุจริต ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกัน "ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต"