นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สากล เอนเนอยี (จำกัด) มหาชน หรือ "SKE" กล่าวว่า " บริษัทฯ มีความภูมิใจที่ได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิง ที่จังหวัดแพร่ โดย SKE จะใช้เงินลงทุน 850 ล้านบาทในการเข้าถือหุ้น 80% ในบริษัท แม่กระทิงพาวเวอร์ จำกัด ("MKP") ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 9.9 เมกะวัตต์ และมีสัญญาขายไฟ 8 เมกะวัตต์ กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในอัตราเฉลี่ยที่ 4.62 บาท ต่อหน่วยตลอดอายุสัญญา 20 ปี ซึ่งนับเป็นอัตราการขายไฟสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สูงที่สุดในปัจจุบัน (สูงกว่าอัตราการขายไฟฟ้าในโครงการ SPP Hybrid ซึ่งคาดว่าประมาณ 1.80 บาท ต่อหน่วย) และที่สำคัญ โครงการนี้ได้มีข้อตกลงการซื้อขายวัตถุดิบสำหรับผลิตไฟล่วงหน้ากับ บริษัท บีพี 15 จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิง Wood Pellet (เชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด) รายใหญ่ในภาคเหนือ และ บริษัท แพร่กรีนพาวเวอร์ จำกัด ("PGP") เป็นสัญญาระยะยาว 20 ปี เท่ากับอายุสัญญาของเวลาขายไฟฟ้าที่มีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จึงเป็นการปิดความเสี่ยงด้านวัตถุดิบได้อย่างครบถ้วน ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการ
โดยมีประมาณการผลตอบแทนดังต่อไปนี้
ผลตอบแทนโครงการ IRR 12.54%
ผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น EIRR 16.92%
ระยะเวลาคืนทุน PB 6.82%
โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลนับเป็นโครงการใหม่ โครงการที่ 3 ของบริษัทหลังจากบริษัทฯได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครบ 3เดือน ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อรับรู้รายได้แล้ว คาดว่าจะส่งผลทำให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 80% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อรวมกับโครงการผลิตและจำหน่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) และ โครงการสถานีบริการก๊าซ NGV ตามแนวท่อรูปแบบEx-pipeline ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็น 2 โครงการใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งเมื่อรวมกับธุรกิจหลักของบริษัทฯคือบริการรับปรับปรุงและอัดก๊าซ NGVให้กับกลุ่ม ปตท.
ภายใต้สัญญาระยะยาว 20 ปี จะทำให้บริษัทฯมีผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างมีนัยยะ ซึ่งมีรายได้และผลตอบแทน แก่ผู้ถือหุ้นที่เติบโตอย่างมั่นคง
นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สากล เอนเนอยี (จำกัด) มหาชน หรือ "SKE" กล่าวว่า ในปี2561 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโต 15% จากปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็น
ครั้งแรกในรอบหลายปี เนื่องจากการขยายตัวของโลจิสติกส์ และปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากการขยายตัวของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนในโครงการ EEC และปริมาณการนำเข้าและส่งออกที่เพิ่มขึ้น มีผลให้มีความต้องการใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้บริษัทฯยังได้รับประโยชน์โดยตรงจาก การปิดซ่อมสถานีอัดก๊าซของปตท. ที่ปิดซ่อมเป็นเวลา 1 ปี ทำให้สถานีอัดก๊าซของบริษัทฯซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน มีปริมาณการอัดก๊าซเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา บริษัทฯคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่คือ โครงการผลิตและจำหน่ายก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้อีกด้วย"
ทั้งนี้บริษัทฯ มีผลประกอบการงวดปี 2560 บริษัทฯมีรายได้จากการให้บริการการอัดก๊าซธรรมชาติ (NGV) ให้กับ ปตท. และรายได้อื่นๆรวม 333.7 ล้านบาท ลดลงจากรายได้รวม 414 ล้านบาทในปี 2559 เนื่องจากมีปริมาณการอัดก๊าซธรรมชาติลดลง (NGV) รายได้จากการปรับปรุงคุณภาพ และจากการบริการอัดก๊าซ NGV ลดลง บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิ 128 ล้านบาทในปี 2559 เนื่องจากมีรายได้ลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้นจาก การจ้างงานพนักงาน การย้ายสำนักงานและค่าเช่าสำนักงานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมถึงค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
* อนึ่ง "MKP" จะเข้าถือหุ้นใน บริษัท แพร่กรีนพาวเวอร์ จำกัด ("PGP") ร้อยละ 60 อีกด้วย โดยภายหลังจากการเข้าลงทุน บริษัท แม่กระทิงพาวเวอร์ จำกัด ("MKP") จะดำเนินการว่าจ้าง บริษัท แอดวานซ์ เพาเวอร์ คอนเวอร์ชั่น จำกัด ("APCON") ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวในรูปแบบจ้างเหมาเบ็ดเสร็จ (Turnkey) และคาดว่าจะ COD ได้สำเร็จภายในกลางปี 2562