นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2561 ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท เมฆา-เอส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าทำกิจการร่วมค้า กับ บริษัท เอ.ที.อี.เทเลคอม คอนสตรัคชั่น จำกัด ภายใต้ชื่อ "กิจการร่วมค้า เอ.ที.อี.เมฆา-เอส" เพื่อดำเนินการยื่นซองประกวดราคา,เสนอราคา และทำสัญญารับจ้างเหมางานก่อสร้างและออกแบบโครงการ เพื่อการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคเกี่ยวกับสายส่งไฟฟ้ากำลังและสายสัญญาสื่อสาร
สำหรับการจัดตั้งกิจการร่วมค้าในครั้งนี้ บริษัทได้ใช้งบลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท โดยถือหุ้นในสัดส่วน 50:50 เพื่อรับงานท่อร้อยสายไฟใต้ดินนิคมอุตสาหกรรมสุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ 272 ล้านบาท โดยจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 มีนาคมนี้ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนธุรกิจท่อร้อยสายไฟใต้ดินมากขึ้น เพื่อรับมือกับความต้องการในระยะยาวในธุรกิจท่อร้อยสายไฟ
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ยังอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับงวดครึ่งหลังของปี 2560 ให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท จำนวน 253,748,582 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลรอบนี้ 88,812,003.70 บาท ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท รวมจ่ายเงินปันผลงวดปี 2560 ในอัตรา 0.55 บาทต่อหุ้น
โดยกำหนดให้ผู้ถือหุ้นที่จะมีชื่อปรากฏ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 เป็นวันกำหนดสิทธิ์ผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ซึ่งกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 พฤษภาคม 2561
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2560 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560) ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 193.91 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมเท่ากับ 1,435 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 5.91 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,355 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดและการขยายกำลังการผลิต
"ปีนี้จะได้เห็นผลการดำเนินงานของ ARROW กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้อีกครั้ง เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนธุรกิจท่อร้อยสายไฟใต้ดินมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการงานสายไฟลงดินทั้งจากภาครัฐและเอกชน เมื่อผนวกเข้ากับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องในปีนี้ และมีงานในมือ (Backlog) ที่เตรียมทยอยรับรู้รายได้ประมาณ 800 ล้านบาท อีกทั้งยังอยู่ระหว่างเสนองานอีกไม่ต่ำกว่า 380 ล้านบาท จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ,รถไฟฟ้ารางคู่ และงานเอกชนอื่นๆ จึงทำให้บริษัทฯ ประมาณการณ์รายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-20% จากปี 2560 หรือ 1,600 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ 25-30% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้เริ่มขยายธุรกิจสู่งานวางท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อเพิ่มทางเลือกในการขยายธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน ทำให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง" นายธานินทร์ กล่าวในที่สุด