การสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาค ครั้งที่ 1/2561

พุธ ๐๗ มีนาคม ๒๐๑๘ ๑๖:๐๒
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้จัดงานสัมมนาวิชาการเวทีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ภายใต้โครงการขยายบทบาทสำนักงานเศรษฐกิจการคลังสู่ภูมิภาคประจำปีงบประมาณ 2561 ครั้งที่ 2/2561 ในวันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 เวลา 08.00 – 13.00 น. ณ ห้องประชุมนราทัศน์ โรงแรมอิมพีเรียลนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับเกียรติจากนายสุรพร พร้อมมูล ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นผู้กล่าวเปิดงาน และนางศศิพันธุ์ พรรณนายน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นผู้กล่าวรายงาน การสัมมนาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายบทบาทของ สศค. สู่ภูมิภาค และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในท้องถิ่นในบทบาทของ สศค. รวมทั้งภาพรวมของเศรษฐกิจภาคใต้ มาตรการการเงินฐานราก และมาตรการส่งเสริมการออมของประชาชน ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสได้กล่าวถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของจังหวัดนราธิวาส ที่มีจุดเด่นทางการค้าและการลงทุน จากโครงสร้างพื้นฐานที่มีศักยภาพ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดน นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ที่ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณซึ่งเป็นปัจจัยเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านโครงการต่าง ๆ มากมาย อาทิ เมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 2 เป็นต้น รวมทั้งได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ต้องสร้างการรับรู้และเข้าใจร่วมกันเพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

การสัมมนาในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงินเฉพาะกิจ สถาบันการศึกษา และประชาชนจากจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ ปัตตานี และยะลา รวมทั้งสิ้น 205 คน โดยมีการเสวนาและการบรรยายให้ความรู้แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้

การสัมมนาในช่วงแรกเป็นการเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองทางเศรษฐกิจภายใต้หัวข้อเรื่อง "โอกาสทางเศรษฐกิจของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยมีนายกิตติ หวังธรรมมั่ง ประธานหอการค้าจังหวัดนราธิวาส นายพงศ์ศักดิ์ ชุติเชาวน์กุล ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนราธิวาส นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจ มหภาค สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. และมีนางสาวคงขวัญ ศิลา เศรษฐกรชำนาญการ สำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. เป็นผู้ดำเนินรายการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

นายพงศ์นคร โภชากรณ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในระยะที่ผ่านมาเริ่มมีการฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีตามลำดับ ซึ่งเศรษฐกิจไทยในฐานะที่พึ่งพาการค้าโลกก็เริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยเศรษฐกิจไทยในปี 2560 และ 2561 ยังขยายตัวได้ดี เมื่อติดตามเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจล่าสุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา "โตแบบ 3 สูง" จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด 6 ด้าน ได้แก่ กับดักรายได้ปานกลาง ขีดความสามารถในการแข่งขัน การเติบโตที่ไม่สมดุล ความยากจนและความเหลื่อมล้ำ สังคมผู้สูงอายุ และภาระทางการคลังในอนาคต นอกจากนี้ นายพงศ์นครฯ ยังได้กล่าวถึงมาตรการที่ภาครัฐผลักดันเพื่อให้เกิดการเติบโตควบคู่การลดความยากจน เช่น ผลักดัน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ

นายกิตติ หวังธรรมมั่ง กล่าวว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาพรวมดีแต่เศรษฐกิจของจังหวัดนราธิวาสไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ปัจจุบันสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นสะท้อนจากความร่วมมือของประชาชนที่ให้กับภาครัฐมีมากขึ้น บรรยากาศทางเศรษฐกิจจึงปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ยังคงมีความท้าทายอยู่บางประการ เช่น ราคาผลผลิตทางการเกษตรมีแนวโน้มปรับลดลง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงหดตัวเนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักคือชาวมาเลเซียประสบปัญหาค่าเงินริงกิตที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้กำลังซื้อของชาวมาเลเซียลดลง ในส่วนของบรรยากาศการลงทุนนั้น ยังไม่ชัดเจนนักเนื่องจากแรงงานในท้องที่ย้ายเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การค้าขายออนไลน์ ก็ได้สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการในท้องที่มากขึ้นเช่นกันจากต้นทุนที่ลดต่ำลง

นายพงศ์ศักดิ์ ชุติเชาวน์กุล กล่าวว่า จังหวัดนราธิวาสมีโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลัก การตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะช่วยบรรเทาปัญหาการย้ายแรงงานออกนอกพื้นที่ด้วยการสร้างงาน ดึงดูดแรงงานนอกพื้นที่เข้าสู่จังหวัดและยังสามารถแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงอายุในพื้นที่ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุตสาหกรรมของจังหวัดนราธิวาสต้องมีทิศทางที่ชัดเจน ภาครัฐต้องมีบทบาทนำในการดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพ อาทิ นักลงทุนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน

การสัมมนาช่วงที่ 2 เป็นการบรรยายเรื่อง "คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บำนาญกับ กอช." โดยได้รับเกียรติจากนางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นผู้บรรยาย สรุปสาระสำคัญดังนี้

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นองค์กรภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังเพื่อส่งเสริม ให้ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรืออยู่นอกระบบบำเหน็จบำนาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบแล้ว ให้ได้ออมเงินเพื่อภายหลังเกษียณ โดยรัฐจะช่วยจ่ายสมทบให้ส่วนหนึ่งและเมื่อผู้ออมมีอายุครบ 60 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญเป็นรายเดือนตลอดชีพ ผู้สนใจสามารถนำบัตรประชาชนไปสมัครเป็นสมาชิกกองทุนได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทั้งนี้ ผู้ที่ยิ่งออมเร็วและออมในอัตราสูง ก็จะได้รับเงินบำนาญมากขึ้นตามสัดส่วน แต่สำหรับผู้ที่มีระยะเวลาหรือจำนวนเงินออมน้อย กอช. จะใช้เงินกองทุนจ่ายสมทบ ให้เป็นเงินดำรงชีพเดือนละ 600 บาท รวมกับเบี้ยยังชีพเดือนละ 600 รวมรับเดือนละ 1,200 บาท จนกว่าเงินในบัญชีจะหมด จากนั้นก็ได้รับเพียงเบี้ยยังชีพ

สำหรับกลุ่มผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิก กอช. เปิดกว้างตั้งแต่ช่วงอายุ 15-60 ปี ครอบคลุม ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น เกษตรกร ค้าขาย รับจ้างทั่วไป แม่บ้าน แพทย์ ทนายความ ลูกจ้างรายวัน นักการเมืองท้องถิ่น นิสิตหรือนักศึกษา เป็นต้น โดยสมาชิกต้องไม่อยู่ในระบบบำเหน็จบำนาญภาครัฐหรือภาคเอกชนหรือกองทุนตามกฎหมายอื่น ซึ่งได้รับเงินสมทบจากรัฐหรือนายจ้างอยู่แล้ว โดยส่งเงินสะสมขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 50 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยเงินที่สะสมนี้จะได้รับดอกเบี้ยจาก กอช. อีกด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนในพื้นที่ที่เป็นชาวมุสลิม กอช. ได้มีการปรับปรุงนโยบายด้านการลงทุนให้สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม

การสัมมนาช่วงสุดท้ายเป็นการบรรยายในหัวข้อ "รู้ลึก รู้จริง การเงินภาคประชาชน" โดยผู้บรรยาย ประกอบด้วย 1) นางสาวกฤติกา โพธิ์ไทรย์ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. 2) นายชยเดช โพธิคามบำรุง สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. และ 3) นายทิวนาถ ดำรงยุทธ สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

นางสาวกฤติกา โพธิ์ไทรย์ ได้กล่าวถึงภาพรวมการเข้าถึงบริการทางการเงินภาคครัวเรือนปี 2559 มีการเข้าถึงบริการทางการเงินเพิ่มขึ้นจากปี 2556 จากร้อยละ 95.8 เป็นร้อยละ 97.3 พบว่า ใช้บริการ ธ.พาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFI) มากที่สุด ขณะที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และสถาบันการเงินอื่น มีบทบาทเพิ่ม มากขึ้น รวมทั้ง มีการใช้บริการผู้ให้บริการนอกระบบลดลง สืบเนื่องจากนโยบายของรัฐที่สนับสนุนประชาชนให้ใช้บริการ ผู้ให้บริการในระบบและกึ่งในระบบ และเมื่อพิจารณาการเข้าถึงบริการด้านสินเชื่อฐานรากพบว่า SFI เป็นสถาบันการเงิน ที่ผู้มีรายได้น้อยกู้มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 54 อันดับต่อมา ได้แก่ สหกรณ์และธนาคารพาณิชย์ (ร้อยละ 28 และ 6 ตามลำดับ) อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินที่ให้บริการแก่ฐานรากยังมีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ ทำให้การบริการทางการเงินยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น ภาครัฐจึงได้จัดทำนโยบายต่าง ๆ เพื่อให้ระบบการเงินฐานรากเข้มแข็งและสนองตอบความต้องการแก่ฐานรากได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ นโยบายที่เกี่ยวของกับการเงินระดับฐานราก ประกอบด้วย 2 นโยบายที่สำคัญ ได้แก่

1. การดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน พ.ศ. 2560 – 2564 (แผนพัฒนาฯ) จะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของชุมชน และเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ทั่วถึงอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การสร้างรายได้และพัฒนาศักยภาพด้านการเงินของประชาชนระดับฐานราก ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การพัฒนาผู้ให้บริการทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน (Financial Infrastructure) ให้เหมาะสมต่อการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ แผนพัฒนาฯ ประกอบด้วย 60 โครงการ ในปีงบประมาณ 2560 มีโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จ 15 โครงการ

2. การดำเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ประกอบด้วย 5 มิติ ได้แก่ (1) ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย (2) เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ (3) ลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ (4) เพิ่มศักยภาพของลูกหนี้นอกระบบ และ (5) สนับสนุน การดำเนินงานแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของหน่วยงานภาครัฐและองค์กรการเงินชุมชนที่เกี่ยวข้อง

นายชยเดช โพธิคามบำรุง ได้กล่าวถึงปัญหาหนี้นอกระบบ โดยเกิดจากผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีหลักประกันหรือไม่เข้าหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงินจากผู้ให้สินเชื่อในระบบสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด ส่งผลให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้โดยง่าย ประกอบกับเงื่อนไขบางประการของเจ้าหนี้นอกระบบบางรายที่มิยอมให้ลูกหนี้สามารถชำระเงินต้นได้ เช่น การตั้งเงื่อนไขที่จ่ายแต่ดอกเบี้ยและไม่ลดเงินต้น เป็นต้น ทั้งนี้ หนี้นอกระบบที่ถูกกฎหมายจะเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี โดยหากเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยสูงกว่านั้น พระราชบัญญัติห้ามเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ได้กำหนดโทษจำคุก 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

นายทิวนาถ ดำรงยุทธ ได้กล่าวถึง แชร์ลูกโซ่ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีลักษณะหลอกลวงประชาชนที่แพร่หลาย ในปัจจุบัน โดยลักษณะธุรกิจแชร์ลูกโซ่นั้นมีลักษณะโฆษณาชักชวนบุคคลให้มาลงทุน และให้สัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทน ในอัตราที่สูงภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในความเป็นจริงระบบการจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกแชร์ลูกโซ่ส่วนใหญ่จะนำเงินที่ลูกค้าแชร์รายใหม่มาจ่ายให้ลูกค้ารายเก่าหรือใช้วิธีการหมุนเวียนเงิน หากไม่มีลูกค้ารายใหม่เข้ามาก็จะไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนนั้นได้ ทำให้ได้รับความเสียหายแก่ผู้ลงทุน อีกทั้งปัจจุบันมีการเล่นแชร์ผ่านทางโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งจาก Application เช่น Facebook หรือ Line เป็นต้น หรือที่เรียกว่าแชร์ออนไลน์ โดยวิธีการท้าวแชร์จะโฆษณาชักชวนผ่าน Application โดยลักษณะการเล่นนั้น จะเหมือนการเล่นแชร์ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ผู้ที่ลงทุน (สมาชิกวงแชร์) จะได้รับผลตอบแทนที่ทางท้าวแชร์กำหนดไว้ แต่ในท้ายที่สุดผู้ลงทุน (สมาชิกวงแชร์) จะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ท้าวแชร์กล่าวอ้างไว้ในตอนแรกแต่อย่างใด ซึ่งอาจจะเกิดจากท้าวแชร์หลบหนี หรือท้าวแชร์กล่าวอ้างกับผู้ลงทุนว่า สามารถติดตามเงินจากสมาชิกในวงแชร์ได้ครบถ้วนจึงไม่สามารถนำเงินมาจ่ายให้ผู้ลงทุนได้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงอุบายของท้าวแชร์ที่จะระดมทุนจากสมาชิกวงแชร์เท่านั้น และในท้ายที่สุดสมาชิกที่เข้ามาเล่นวงแชร์ก็จะไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ รวมถึงสูญเสียเงินที่ลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวงได้ดีที่สุด คือ ควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดก่อนการตัดสินใจลงทุน รวมทั้งพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทความเหมาะสมของราคาสินค้า และธุรกิจมีความเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน

สศค. จะจัดเวทีสัมมนาวิชาการเวทีสานักงานเศรษฐกิจการคลัง (FPO Forum) ประจำปีงบประมาณ 2561 อีกจำนวน 2 ครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคม และ กรกฎาคม 2561 ตามลำดับ

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

โทร 0 2273 9020 ต่อ 3669, 3653, 3376

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version