นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ขณะที่ TPIPP หรือ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์หรือ COD โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ (TG6-70MW) นำมารวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง (TG4-30MW) เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า 90 MW โดยได้รับ Adder 3.50 บาทต่อหน่วย เพิ่มเติมจากค่าไฟฐานในปัจจุบันที่ประมาณ 2.94 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา7 ปี รวมทั้งการ COD โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน-เชื้อเพลิงขยะ (TG7-70MW) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน (TG8-150MW) เพื่อขายไฟฟ้าให้บริษัทฯ (TPIPL)
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคาดว่าจะบันทึกกำไรจากการดำเนินธุรกิจในปี 2561 โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทฯ มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 2.61 บาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ ถือหุ้นใน TPIPP จำนวน 5,899,999,300 หุ้น หรือคิดเป็น 70.24% และบันทึกบัญชีหุ้นดังกล่าวในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท (ตามมูลค่าที่ตราไว้) เปรียบเทียบกับราคาตลาดของหุ้น TPIPP ที่ราคาประมาณหุ้นละ 7 บาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีมูลค่าเงินลงทุนในหุ้น TPIPP เพิ่มขึ้นประมาณ 35,400 ล้านบาท โดยมูลค่าเพิ่มดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าหุ้น บมจ.ทีพีไอ โพลีน หรือ TPIPL มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกประมาณหุ้นละ 1.70 บาท อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังไม่ได้บันทึกบัญชีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวในงบการเงินของบริษัทฯ แต่บันทึกบัญชีหุ้นดังกล่าวในราคาทุนหุ้นละ 1 บาท (ตามมูลค่าที่ตราไว้)