นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปิดฉากปี 2560 อย่างสวยงาม โดยประเมินอัตราการขยายตัวที่ 3.7% YoY และดูเหมือนว่าโมเมนตั้มจะดีต่อเนื่องในปี 2561 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน คือ สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็วกว่าคาดและแนวโน้มที่อาจจะเกิดสงครามการค้าโลก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขยายตัว 3.9% ในปี 2560 อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตในปี 2561 ยังดูดีโดยมีสัญญาณจากการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่การใช้จ่ายอุปโภคบริโภคยังแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปีก่อน เมื่ออิงกับประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะขยายตัว 3.9% YoY ในปีนี้ เร่งตัวขึ้นจากการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะยังคงหนุนภาคส่งออกของไทยควบคู่ไปด้วย
ปัจจุบันมีปัจจัยเสี่ยงหลักๆ 2 อย่างเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงิน ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยหรือต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลฉุดรั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญอยู่ที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่อาจปรับขึ้นเร็วกว่าคาดเนื่องจากปัจจัยกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีก จากตลาดแรงงานที่ตึงตัวขึ้น และ output gap เป็นบวกมากขึ้นซึ่งบ่งบอกว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตตึงตัวมากขึ้นสอดคล้องกันในหลายๆ ภาคธุรกิจ ชี้ให้เห็นว่าโมเมนตั้มการเติบโตอาจแข็งแกร่งกว่าคาดในสหรัฐฯ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 4 ครั้งในปีนี้ เร็วกว่าที่ตลาดคาดว่าน่าจะขึ้นเพียง 3 ครั้ง
"SCBS มองว่า ความกังวลที่จะเกิดสงครามการค้าทั่วโลกกลับมาอีกครั้ง นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งเมื่อปลายปี 2559 สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าแผงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องซักผ้า เหล็ก อลูมิเนียม ซึ่งแม้จะมีการผ่อนปรนให้กับคู่ค้าบางประเทศเช่น ออสเตรเลีย แคนนาดา เม็กซิโก ฯลฯ แต่การประกาศเตรียมขึ้นภาษีระรอกล่าสุดที่มีการตอบโต้ไปมาระหว่างสหรัฐฯ และจีนดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ตลาดมีความกังวลต่อความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้ามากขึ้น"
กลยุทธ์การลงทุนประจำไตรมาส 2 ปี 2561 SET index ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4% นับตั้งแต่ต้นปี 2561 จนถึงกลางเดือนมี.ค. หลักๆ ได้รับปัจจัยกระตุ้นจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี คาดว่า SET index จะเคลื่อนไหวแบบ sideways ในไตรมาส 2 ปี 2561 และยังคงเป้า SET index สิ้นปี 61 ไว้ที่ 1900 จุด สำหรับหุ้น Top Picksประจำไตรมาส 2 ปี 2561 เลือกกลุ่มธนาคาร เพราะสินเชื่อจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นและคุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้เลือกกลุ่มพาณิชย์เพราะงบประมาณกลางปีจะเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายรากหญ้า สุดท้าย กลุ่มการแพทย์ เนื่องจากเป็นหุ้น laggard และกำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน ปี 2561 ประกอบกับ เทรนด์ใหม่ของธุรกิจประกันสุขภาพซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศไทยในระยะยาว
- บมจ. กรุงเทพ (BBL): หุ้น laggard paly ที่ดีที่สุดในกลุ่มธนาคารเพราะจะได้รับประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่และรายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายสินค้ากลุ่มประกันชีวิตจะเพิ่มขึ้น
- บมจ.กรุงไทย (KTB): ราคา laggard ซื้อขายที่ PBV 0.9 เท่า (-1SD จากค่าเฉลี่ย 15 ปี ) เติบโตตามการลงทุนภาครัฐและวัฏจักรการลงทุนระรอกใหม่ของประเทศ
- บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC): ราคา laggard ซื้อขายที่ PEG ปี 61 ระดับ 1.0 เท่า (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ 2.2 เท่า) คาดกำไรเติบโต 33% ในปี 61
- บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL): หุ้น laggard มากที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ กำไรปี 61 จะเติบโต 22% โดยได้รับปัจจัยกระตุ้นจาก SSS ที่เติบโต 4.5% (ดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์)
- บมจ.โรบินสัน (ROBINS): ถูกที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ PE ปี 61 ระดับ 22 เท่า (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มอยู่ที่ 32 เท่า) และกำไรจะเติบโต 16% เพราะ SSS และอัตรากำไรจะปรับตัวดีขึ้น
- บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS): ราคาหุ้นยังปรับขึ้นน้อยกว่า SET นับตั้งแต่ตลาดเริ่มปรับตัวขึ้นในเดือนก.ย. 60 EPS จะเติบโต 17% ในปี 61 และมีการจับมือกับบริษัทประกันซึ่งจะทำให้รายได้จากผู้ป่วยประกันสุขภาพมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว
- บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG): ราคาหุ้นลดลง 28% ใน 1 ปีที่ผ่านมาเพราะกังวลเรื่องการแข่งขันขยายกิจการสู่พื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งรพ.เอกชนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5-15% ของจำนวนเตียงทั้งหมด