นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนฯ ได้เปิดเผยว่า "กองทุนต้องขอขอบคุณสำนักงานศาลยุติธรรมที่เห็นความสำคัญของการดำเนินงานกองทุนในส่วนของการติดตามหนี้ โดยได้มีส่วนช่วยเหลือในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสำหรับกลุ่มผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้และเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดี มาโดยตลอด ปัจจุบัน กองทุนมีผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้จำนวนกว่า 3.6 ล้านราย โดยมีผู้กู้ยืมที่ค้างชำระหนี้และศาลมีคำพิพากษาแล้ว 1.2 ล้านราย โดยขณะนี้มีผู้กู้ยืมที่ผิดนัดและไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา และเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีแล้วจำนวนประมาณ 2 แสนราย และยังมีผู้กู้ยืมที่จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีประมาณ 1 ล้านราย ทำให้ส่งผลกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีปกติของศาล
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ได้มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกำหนดให้องค์กรนายจ้างมีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากรของพนักงาน/ลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืมเงินกองทุน ตามอำนาจที่กองทุนแจ้งเนื่องจากการจ้างแรงงาน เช่น เงินเดือนค่าจ้างฯ นำส่งกรมสรรพากรพร้อมกับการนำส่งภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายเพื่อชำระหนี้คืนกองทุน ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ของกองทุน โดยลดปัญหาหนี้ค้างชำระและลดจำนวนคดีที่เข้าสู่ศาล อย่างไรก็ตาม ผู้กู้ที่ศาลพิพากษาแล้วขอให้ไปชำระหนี้หรือขอเจรจาไกล่เกลี่ยชั้นบังคับคดีได้ เพื่อป้องกันการถูกยึดทรัพย์บังคับคดี โดยผู้กู้ยืมสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองทุน กยศ. โทร 0 2016 4888 หรือสำนักงานบังคับคดีในแต่ละจังหวัด
สุดท้ายนี้ กองทุนขอฝากถึงผู้กู้ยืมทุกคนว่าเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาเปรียบเสมือนการให้ทุนแก่เยาวชน เพื่อไปสร้างอนาคตของตนเองและสร้างทุนมนุษย์ให้กับตัวผู้กู้ยืมเอง เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้ก็ขอให้ชำระตามกำหนดเวลา เพื่อส่งมอบโอกาสคืนทุนการศึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป"