CPF มุ่งลดใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติในขบวนการผลิต 15-30% ในปี 2563

พุธ ๒๕ เมษายน ๒๐๑๘ ๑๒:๓๗
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปรับเป้าหมายลดการใช้พลังงาน ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการนำน้ำมาใช้ และลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยวิธีฝังกลบ เดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายจารุบุตร เกิดอุดม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดกระบวนการผลิต รวมทั้งมีการต่อยอดและพัฒนาการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงได้มีการปรับปรุงประกาศฯปรับเป้าหมายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมในปี พ.ศ. 2563 ที่กำหนดไว้เดิมโดยใช้ปี 2558 เป็นปีฐาน โดยปรับเป้าหมายลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหน่วยน้ำหนักผลผลิตให้ได้ถึงร้อยละ 15 จากเป้าหมายเดิมอยู่ที่ร้อยละ 5 ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ได้ร้อยละ 15 จากเป้าหมายเดิมอยู่ที่ร้อยละ 5 ลดปริมาณการนำน้ำมาใช้ให้ได้ร้อยละ 25 จากเป้าหมายเดิมอยู่ที่ร้อยละ 10 และลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยวิธีฝังกลบให้ได้ร้อยละ 30 ตามลำดับ

"ซีพีเอฟกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย พลังงาน ก๊าซเรือนกระจก การนำน้ำมาใช้ และปริมาณของเสียที่กำจัดโดยวิธีฝังกลบ ถือเป็นนโยบายที่ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน มีหน้าที่สนับสนุน ผลักดัน และปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทสามารถลดการใช้พลังงานได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ทุกด้าน ทำให้บริษัทพิจารณาปรับเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีก" นายจารุบุตร กล่าว

นายจารุบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปี พ.ศ. 2563 ซีพีเอฟจะมีส่วนร่วมในการช่วยลดการใช้พลังงานได้เท่ากับ 5,770 ล้านเมกะจูล หรือเทียบเท่า 1,600 ล้านหน่วยไฟฟ้า (ปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อคนเท่ากับ 2,540 หน่วยต่อปี) ลดการใช้น้ำได้กว่า 69 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับ 490,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการใช้น้ำมันดีเซลในรถยนต์กว่า 182 ล้านลิตร (ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซลเท่ากับ 64.3 ล้านลิตรต่อวัน) และลดของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบกว่า 12,000 ตัน

สำหรับผลการดำเนินงานสะสมของบริษัทฯ ปี 2559-2560 สามารถลดปริมาณการใช้พลังงานต่อน้ำหนักผลผลิตได้ ร้อยละ 11.60 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ร้อยละ 6.98 ซึ่งเป็นผลจากความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาและดำเนินโครงการด้านการประหยัดพลังงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ได้ ร้อยละ 23.38 เนื่องมาจากการลดการนำน้ำมาใช้ของสายธุรกิจสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นสายธุรกิจที่มีปริมาณการนำน้ำมาใช้สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ และลดปริมาณของเสียที่กำจัดโดยวิธีการฝังกลบได้ร้อยละ 9.08 จากการนำหลักการ 4Rs มาใช้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๓:๐๗ ทีทีบี ครองธนาคารไทยคะแนนสูงสุดด้าน ESG ต่อเนื่องปีที่ 6 ตอกย้ำความสำเร็จบนเส้นทางสู่ การธนาคารเพื่อความยั่งยืน
๑๓:๔๐ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องหนุน กนง. คงดอกเบี้ยนโยบาย
๑๓:๒๕ หมอนรองกระดูกเสื่อม สาเหตุปวดร้าวลงขา
๑๒:๕๖ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ มองเศรษฐกิจโลก 2025 ฟื้นตัว แม้มีปัจจัยเสี่ยง ชี้ตราสารหนี้และหุ้นยังคุ้มค่าท่ามกลางความผันผวน
๑๒:๒๗ Thailand Privilege Card จับมือ ASAVA ปรับโฉมยูนิฟอร์มด้านบริการ ภายใต้คอนเซปต์ GRACE สะท้อนอัตลักษณ์ไทยร่วมสมัยสู่สากล
๑๑:๐๔ เครือสหพัฒน์ จัดสัมมนาเสริมบทบาทคณะกรรมการ ESG เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน
๑๑:๒๖ กสิกรไทยส่งบริการมัดใจตลาดเวียดนาม กวาด 2 รางวัลใหญ่ ระดับนานาชาติ สุดยอดบัตรเครดิตใหม่และสุดยอดธนาคารแห่งใหม่เพื่อเอสเอ็มอีออนไลน์
๑๑:๕๙ 'พฤกษา' ตอกย้ำผู้นำด้านอสังหาฯ ผนึกความเชี่ยวชาญด้านการอยู่อาศัย สู่การสร้างชุมชนสุขภาพดี มอบสิทธิพิเศษ และโครงการดูแลสุขภาพลูกบ้านตลอดปี
๑๑:๒๓ TFG ติดปีก! ปี 67 กำไรพุ่งแตะ 3,143.81 ลบ. เพิ่มขึ้น 486.93%
๑๑:๑๖ SO ตอบแทนผู้ถือหุ้นโดยจ่ายปันผล 85% ของกำไร หรือ 0.18 บาท/หุ้น กวาดกำไรปี 67 กว่า 153 ล้านบาท