ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE เปิดเผยแผนธุรกิจในการดำเนินงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ประเภทติดตั้งบนพื้นดิน หรือโซลาร์ฟาร์ม ที่ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือTSE และบริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI ในสัดส่วน 60 : 40 ในการร่วมพัฒนาโครงการทั้งหมด 8 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม176.72 เมกะวัตต์ มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยการจัดตั้งบริษัท ทีเอสอี โอเวอร์ซีส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของทั้งสองบริษัท เพื่อใช้ในการดำเนินกิจการและขยายงานในประเทศญี่ปุ่น
ปัจจุบัน TSE มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นทั้งสิ้น 8 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 176.72 เมกะวัตต์ สามารถรับรู้รายได้แล้ว5 โครงการ รวม 6.99 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการใหญ่อีก 2 โครงการในจังหวัดอิชิกาว่าและจังหวัดมิยางิ รวม 168.48 เมกะวัตต์ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท โดยโครงการใหญ่ที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการในจังหวัดมิยางินั้น ถือได้ว่าเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ 2 โครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างพัฒนา ในจังหวัดอิชิกาว่าและจังหวัดมิยางิ รวม 168.48 เมกะวัตต์ คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2562 และ ปี 2565 ตามลำดับ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี ที่อัตรารับซื้อไฟฟ้าแบบ FiT หน่วยละ 36 เยนต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
"การร่วมทุนของ TSE กับ FPI ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ ทั้งในแง่ของการเติบโตและขยายการลงทุน รวมถึงการสร้างรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้นในอนาคต TSE และ FPI พร้อมที่จะพัฒนาโครงการที่มีอยู่ และเตรียมจัดหาโครงการใหม่ ๆ เพื่อขยายกำลังการผลิต ด้วยความมุ่งมั่นในการขยายการลงทุนโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นให้มากขึ้น โดยยังคงเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ อีกด้วย" ดร.แคทลีน กล่าว
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI มั่นใจว่าการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นร่วมกับ TSE ในครั้งนี้จะช่วยผลักดันกำไรและกระแสเงินสดของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยทำให้มีรายได้ประจำ (Recurring Income) เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และช่วยกระจายความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้ลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ ใน จังหวัดนราธิวาส จะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้ และโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ใน จังหวัดแพร่ ซึ่งเตรียมจะ COD ในเดือนพ.ค.นี้
สำหรับเม็ดเงินลงทุนร่วมกับ TSE ในครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 1,695 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยเงินลงทุนมาจากการสนับสนุนสินเชื่อจากสถาบันการเงิน กระแสเงินสดของบริษัท และเงินที่ได้รับจากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์
"นับเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับ FPI ที่จะทำให้ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ มีความมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ละก้าวที่เดินไปคณะผู้บริหารต้องมั่นใจว่าเมื่อตัดสินใจดำเนินการแล้วต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ถือหุ้นทุกท่าน และนี่คือความท้าทายครั้งใหม่ ซึ่งเรามั่นใจว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ สร้างความมั่นคงได้ในระยะยาว อันจะเป็นรากฐานสำคัญสู่การเติบโตที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต" นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กล่าวในที่สุด