นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHAGroup ผู้นำธุรกิจแบบครบวงจร ด้านธุรกิจโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทและกิจการร่วมค้า 3,447 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรฯ ที่ 1,365 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 780 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 866%
สำหรับปัจจัยการเติบโตของรายได้ และกำไรของบริษัทฯในไตรมาส 1/2561 เติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ เนื่องจากการรับรู้รายได้จากยอดการโอนที่ดิน รวมทั้งปริมาณการขายและให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้น้ำ ของลูกค้าในนิคมฯ โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน รวมถึงการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เพิ่มเติมเข้ากองทรัสต์ HREIT ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการรับรู้รายได้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานเพิ่มขึ้น จากการเปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้า SPP ครบ 4 โรงในปี 2560 และในวันที่ 1 มกราคม 2561 เปิด COD โรงไฟฟ้า กัลฟ์ ทีเอส 4 เพิ่มอีก 1 โครงการ ส่งผลให้บริษัทฯ รับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าใหม่เข้ามา 5 โครงการ ส่งผลให้มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมในปัจจุบัน ประมาณ 510.5 เมกะวัตต์
" จากตัวเลขผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตราการทำกำไรของธุรกิจการขายที่ดิน และธุรกิจน้ำมีการเติบโตสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่มีการเติบโต 162% ตลอดจนการลดลงของต้นทุนทางการเงิน ซึ่งเป็นผลจากการได้รับการจัดอันดับเครดิตของบริษัทฯที่ระดับ "A-" ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตได้กำหนดที่ระดับ "Stable" หรือ "คงที่" ในไตรมาส 4 ปี 2560 จากทริสเรทติ้ง ส่งผลให้อัตราการทำกำไรของบริษัทฯ มีการปรับตัวที่ดีขึ้น" นางสาวจรีพร กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม WHA Group ยังได้กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2561 ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนตามแผนทางธุรกิจที่บริษัทฯ ตามที่วางไว้ โดยเฉพาะธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากโครงการ EEC เพราะที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯตั้งอยู่ในพื้นที่ของโครงการดังกล่าวมากถึง 9,000 ไร่ และในช่วงที่ผ่านมามีกลุ่มลูกค้าให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเป็นกลุ่มลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม อาทิเช่น อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ จึงเชื่อว่าเป้าหมายการขายที่ดินในปีนี้ที่ตั้งไว้ 1,400 ไร่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
ส่วนในด้านการขยายการลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้มีการลงทุนและพัฒนาด้านนิคมอุตสาหกรรม ในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันนิคมฯ ดังกล่าวได้ EIA เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคด้านน้ำ โดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือWHAUP เป็นผู้ดำเนินการ และคาดว่าจะทยอยมีรายได้เข้ามาในปีนี้ ขณะที่ประเทศพม่า นั้น บริษัทฯอยู่ระหว่างขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของเข้าไปการลงทุนว่า ควรจะนำธุรกิจในกลุ่มประเภทใดเข้าไปลงทุนเป็นอย่างแรก เนื่องจากการเข้าไปลงทุนในแต่ละประเทศ ต้องพิจารณาจากความพร้อมและความเหมาะสมของการเข้าไปลงทุน แต่อย่างไรก็ตามมองว่าประเทศดังกล่าวถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพที่น่าเข้าไปลงทุน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารรถได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
สำหรับแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (กองทรัสต์ HREIT) ในช่วงปลายปี คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายและสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้