นายกมล บริสุทธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ TPBI ผู้นำอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครบวงจรระดับโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์ทรานฟอร์เมชั่นธุรกิจในกลุ่มบรรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท General Packaging โดยเตรียมพัฒนานวัตกรรมสินค้าบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ตลาดโลกที่เปลี่ยนไปเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งการทรานฟอร์เมชั่นของบริษัทฯ จะช่วยสร้างความยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น โดยปัจจุบันสินค้ากลุ่มดังกล่าวเริ่มเข้ามาชดเชยการรชะลอตัวคำสั่งซื้อถุงหูหิ้วแบบเดิมอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ TPBI ยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ High Value Added ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค (Flexible Packaging) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูงกว่า โดยจะเริ่มเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคจากโรงงานแห่งใหม่ปลายไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 100 ล้านเมตรต่อปี และในไตรมาส 2 นี้ TPBI ได้เริ่มโครงการขยายกำลังการผลิตกลุ่ม Multilayer Blown Film แล้ว โดยโครงการดังกล่าวจะทำให้กำลังการผลิตกลุ่ม Multilayer Blown Film มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 2,500ตันต่อปี จากเดิมที่มีกำลังการผลิตรวม 9,000 ตันต่อปี ซึ่งทั้งสองโครงการจะเข้ามาช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
"เราเชื่อมั่นว่าสินค้าในกลุ่มทรานฟอร์เมชั่นจะมียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไปและเมื่อรวมกับปัจจัยบวกด้านการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนบรรจุภัณฑ์ Flexible Packaging ที่มีอัตรากำไรที่ดี จะทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของเราฟื้นตัวได้ค่อนข้างชัดเจน" นายกมล กล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/61 (มกราคม-มีนาคม 2561) บริษัทฯ ทำรายได้รวม 1,136.98 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากประสบความสำเร็จในการผลักดันยอดขายจากผลิตภัณฑ์ถุงหูหิ้วชนิด Reusable Soft Loop, ถุงขยะ, และถุงใส่ผักผลไม้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สามารถชดเชยการอ่อนตัวของคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ถุงหูหิ้วได้ดี รวมถึงบรรจุภัณฑ์พลาสติกกลุ่ม High Value Added อย่าง Flexible Packagingและ Multilayer Blown Film ก็มีการเติบโตที่ดีขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากภาวะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกรวมถึงต้นทุนวัตถุดิบก็ยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญ ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ปรับตัวลดลง