นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากความ สำเร็จที่ผ่านมาในปี 2559-2560 บริษัทฯ ได้ทำการเปิดโครงการไปแล้วกว่า 25 โครงการ และมียอดขายโตสูงขึ้นตาม ลำดับ โดยเฉพาะในปี 2560 บริษัทฯ สามารถทำยอดรายได้รวมถึง 4,521 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,327 ล้านบาท ซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นมาถึง 35% จากปีก่อน ส่งผลให้พุ่งทะยานขึ้นติดท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท อีกทั้งในส่วนของไตรมาสแรกในปี 2561 สามารถปรับอันดับขึ้นมาเป็นอันดับ 6 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทยในกลุ่มสินค้าราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท
"ล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาบริหาร ได้แก่ นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารงานและการระดมทุน พร้อมกับมีวิสัยทัศน์ใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กร เจ.เอส.พี.ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยกำหนดเป้าระยะสั้น คือในปีแรกจะเป็นการปรับฐานให้มีความแข็งแรง มั่นคง และมีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น อีกทั้งตั้งเป้าภายใน 3 ปีจะสร้างอัตราการเติบโตให้กับบริษัทฯ ไม่ต่ำกว่า 25% และเน้นพัฒนาอสังหาฯ แนวราบเป็นหลัก ภายใต้หลักการดำเนินงาน 3 ทิศทาง ได้แก่ สร้างทรัพย์ ซื้อขายทรัพย์ และพัฒนาทรัพย์" นายไพโรจน์ กล่าว
บริษัทฯ เดินหน้ารักษาความสำเร็จต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2561 นี้จะเป็นปีของการ Keep Fighting กับ แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่ลงมาชิงดำตลาดอสังหาฯ ที่ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยสร้างรากฐานความเติบโตแบบยั่งยืน เน้นอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Growth) เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำการปรับสัดส่วนการดำเนินงานและสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อขาย จะทำการปรับจีพี (GP) มากขึ้น ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์หรือธุรกิจให้เช่า มีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อสร้างกำไรสุทธิให้เป็นบวก
นอกจากนี้ ยังมีการดึงผู้บริหารระดับมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารโครงสร้างการเงินและการบริหารตลาดธุรกิจให้เช่า ได้แก่ นายสมชาย วรุณพันธุลักษณ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลในส่วนการดำเนินงาน และการจัดโครงสร้างการเงินของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดกำไรสุทธิ ลดการด้อยค่าในสัดส่วนธุรกิจพื้นที่ให้เช่า ให้กลับเป็นบวก พร้อมปักธงรายได้รวมสิ้นปีทะยานเพิ่ม 4,700 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงาน บริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางเป็น 4 มิติ ได้แก่ ด้านการเงิน จะดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ การเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินกู้ระยะสั้นให้เป็นระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา เจ.เอส.พี. ได้ทำการชำระหนี้ จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น Bill of Exchange (B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุนสินเชื่อในการพัฒนาโครงการ ในขณะเดียวกันบริษัทฯ เตรียมจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง โดยในปีหน้าเตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ที่มีอายุ 2-3 ปี ซึ่งวางแผนจะทำการออกหุ้นกู้ในไตรมาสที่ 3 จำนวน 1,000 ล้านบาท จึงทำให้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการที่บริษัทฯ มีกับสถาบันการเงิน
อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนสำหรับการขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยจัดตั้งบริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเมนท์ จำกัด (JPM) เข้ามาดูแลบริหารที่ดินในส่วนของพื้นที่เปล่าและพื้นที่ให้เช่า มุ่งเน้นการตลาดพื้นที่เช่าให้เป็นที่รู้จัก และพัฒนาตลาดให้เหมาะกับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Trend Lifestyle) แต่อย่างไรก็ดี แนวทางการขายทรัพย์สินพื้นที่ธุรกิจให้เช่า บริษัทฯ ยังคงชะลอการดำเนินการ เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในการเปิดรับข้อเสนอจากนักลงทุนหรือผู้สนใจติดต่อเข้ามา ซึ่งในขณะนี้ก็มีนักลงทุนชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจ
นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางการดำเนินงานว่า ปีนี้บริษัทฯ เน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยจะทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้น 5-10% และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในการบริหารงาน ซึ่งเน้นทำตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก ทำการปรับการสร้างสต็อกสินค้าให้สมดุลกับยอดการขายในแต่ละเดือน ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้ของคอนโด 2 โครงการ คือ โครงการเจ คอนโด สาทร - กัลปพฤกษ์ จำนวน 500 ล้านบาท และโครงการเจ คอนโด พระราม 2 จำนวน 206 ล้านบาท และจะชะลอการพัฒนาโครงการแนวดิ่ง โดยมุ่งพัฒนาและให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลัก แต่ยังคงจับตาภาพรวมเศรษฐกิจภายในระหว่าง 3-5 ปีนี้ หากมีความเสถียรแล้วก็จะกลับมาลงทุนเพิ่ม
ส่วนแนวทางในการพัฒนาสินค้าของปีนี้ บริษัทฯ จะทำการปรับโฉมโปรดักส์ใหม่ จับกลุ่มเซ็กเม้นต์ระดับพรีเมียม เพื่อเพิ่มจีพีให้สะท้อนกำไรสุทธิมากขึ้น โดยเน้นโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท เพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,116 ล้านบาท ในสัดส่วน 43% ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์ - บางกะดี โครงการบ้านเดี่ยว -บ้านแฝด มูลค่า 316 ล้านบาท และโครงการเจ วิลล่า รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง โครงการบ้านแฝด มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็เปิดโครงการอาคารพาณิชย์อีก 2 ทำเล ทั้งบนทำเลบางใหญ่และบางบัวทอง มูลค่าโครงการรวม 270 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เจบิซ วงแหวน - บางใหญ่ มูลค่า 200 ล้านบาท โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง มูลค่า 70 ล้านบาท และเปิดโครงการใหม่ เป็นทาวน์โฮมเพิ่มอีก 1 ทำเลในโซนบางบัวทอง คือ โครงการเจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ -บางบัวทอง มูลค่า 100 ล้านบาท
ส่วนในต่างจังหวัดทางบริษัทฯ มีความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เตรียมเปิดโครงการทาวน์โฮม 2 ทำเล ในโซนบางปะกง- บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 107 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทฯ ลงทุนซื้อที่ดินใหม่เพื่อพัฒนาโครงการเจซิตี้ บางพระ - ฉะเชิงเทรา ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา อีกจำนวน 860 ล้านบาท พร้อมกันนี้ในช่วงปลายปีเตรียมเปิดอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา - อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจากนโยบายของผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่เข้ามา พร้อมกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ตั้งไว้ในปีนี้ จะทำให้ บริษัทฯ เกิดการรับรู้รายได้ใน 2 ทาง ทั้งกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ และพื้นที่ให้เช่า จึงถือเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ เจ.เอส.พี. ซึ่งมั่นใจว่ายอดขายจะโตทะลุเป้าที่ตั้งไว้ และสามารถก้าวติดท็อป 5 แบรนด์อสังหาฯ ของโครงการแนวราบในกลุ่มสินค้าราคา 3-5 ล้านบาท ที่ทำรายได้สูงสุดของประเทศได้อย่างแน่นอน และทั้งหมดนี้จะเป็นการสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในศักราชใหม่ของผู้ถือหุ้นรายใหม่ พร้อมผู้บริหารมืออาชีพคนใหม่ที่จะเข้ามาร่วมทัพในการสร้างความมั่นคงของ เจ.เอส.พี. เพื่อก้าวต่อไปในอนาคต นายไพโรจน์ กล่าวสรุป