ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึงประกอบการของบริษัทฯในงวดไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมา สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทฯมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 75.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.82% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 47.15 ล้านบาท เนื่องจากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีกำไรจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ไม่มีแผนการใช้เพื่อประกอบธุรกิจหลักของบริษัทอีกประมาณ 57.82 ล้านบาท
โดยในงวดไตรมาส 1/2561 บริษัทฯมีรายได้รวม 436.85 ล้านบาท เติบโตดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 22.90% โดยมีรายได้หลักจากการรักษาพยาบาลเติบโตขึ้น 10.16% และการขยายฐานที่มากขึ้นของกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการของบริษัทย่อย (AMARC) ซึ่งส่งผลให้รายได้เติบโต 15.67%
"ผลประกอบการ Q1/61 ที่ออกมา เป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น ปัจจัยหลักมาจากรับรู้ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ของกำไรจากการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในคราวเดียวราว 12 ล้านบาท การเปิดให้บริการศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และการขยายห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์ของบริษัทย่อยในไตรมาสดังกล่าว ส่งผลให้มีต้นทุนในการให้บริการ บุคลากรและเทคโนโลยี และค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินใหม่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าเมื่อศูนย์ต่างๆให้บริการได้เต็มศักยภาพ จะส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นให้กับผู้ถือหุ้นได้" ดร.อังกูร กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงไตรมาส 2/2561 แนวโน้มผลประกอบการยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีแนวโน้มโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเป็นไฮซีซั่นของธุรกิจ ประกอบกับโรงพยาบาลได้เปิด 5 ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Medical Excellence Center) ได้แก่ ศูนย์โรคตาและเลสิค ศูนย์ความงามและเลเซอร์ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์กระดูกและข้อ ปัจจุบันเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้จากการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนเพิ่ม "ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์" เพิ่มอีก 4 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์สุขภาพและสตรี ศูนย์สุขภาพเด็ก ศูนย์ตรวจสุขภาพ และศูนย์ทันตกรรม ทำให้ปัจจุบันมีการมุ่งเน้นศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ 9 ศูนย์
ในปีนี้มีการลงทุนเพิ่มห้องตรวจอีก 20 ห้อง เพื่อรองรับโควต้าประกันสังคมในปี 2562 โดยจะของโควต้าประกันสังคมเพิ่มอีก 50,000 ราย รวมทั้งการขยายห้องแลปทางด้านการแพทย์ และเน้นไปทางการตรวจสุขภาพนอกสถานที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีโควต้าประกันสังคม 1.6 แสนคน ปีหน้าจะขอเพิ่มอีก 50,000 คน จะเป็น 2.1 แสนคน สาเหตุที่มีการขยายฐานคนไข้ประกันสังคมเพิ่ม เพราะคาดว่าจะมีผู้ประกันตนในเขตลาดพร้าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากว่ามีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
รวมทั้งยังมีคนไข้ต่างชาติ ที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย ปัจจุบันสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก สอดคล้องกับรัฐบาลมีนโยบายให้กลุ่มต่างชาติที่ทำงานในเมืองไทยเข้ากลุ่มประกันสังคมเพื่อให้เป็นระบบ คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น ดังนั้นในอนาคต บริษัทฯ คาดว่าจะมีการลงทุนโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยประกันสังคมเพื่อรองรับกลุ่มคนไข้ประกันสังคมต่อไป
นอกจากนี้ ในปี 2561 ยังมีโครงการลงทุนก่อสร้าง "อาคารจอดรถอัตโนมัติ" ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลประกันสังคมแห่งใหม่นั้น บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับดีมานด์เพิ่มขึ้น โดยจะลงทุนก่อสร้างอาคารจอดรถอัตโนมัติ ซึ่งตอนนี้กำลังเจรจาผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างจากประเทศเกาหลีใต้และจีน วงเงินลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาท สามารถจอดรถได้ราว 500 คัน คาดว่าจะสร้างเสร็จในปีนี้
ส่วนแผนการลงทุนในโรงพยาบาลเอกชนที่มีผลกำไร ซึ่งตอนนี้อยู่ในระหว่างการให้บริษัทที่ปรึกษาเข้าไปประเมินทรัพย์และประเมินมูลค่าทางธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน คาดว่าภายในไตรมาส 2 ปี 2561 จะได้ข้อสรุปและเจรจากัน เป็นโรงพยาบาลในแถบภาคตะวันออก โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นไม่เกิน 25% ใช้เงินลงทุนราว 250-300 ล้านบาท ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดกลาง จำนวนเตียงไม่เกิน 100 เตียง โรงพยาบาลดังกล่าวมีผลประกอบการเป็นกำไร
ด้านความคืบหน้าการลงทุน โรงพยาบาล ลาดพร้าว ลำลูกกา ล่าสุดขั้นตอนอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่ากระบวนการแล้วเสร็จและเริ่มก่อสร้างได้ช่วงปลายปีนี้ จากแผนเดิมคาดว่าจะก่อสร้างกลางปีนี้ แต่เกิดปัญหาทำให้ต้องเปลี่ยนผู้ออกแบบใหม่ ส่งผลให้โครงการล่าช้าออกไปประมาณ 6 เดือน แต่ปัจจุบันได้ผู้ออกแบบใหม่แล้ว คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี (2562-2564) และรับรู้รายได้ปี 2565 โดยแบ่งเป็น 2 อาคาร คือ โรงพยาบาล และอาคารดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งโครงการเงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท