ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนพฤษภาคม 2561 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
§ ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กรกฎาคม 2561) ลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ "ทรงตัว" (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 80 - 120) โดยลดลง 22.90% จากระดับ 120.17 ในเดือนก่อน
- ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศและกลุ่มสถาบันภายในประเทศลดลงจากการสำรวจเดือนก่อน มาอยู่ใน Zone ซบเซา (Bearish)
- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลต่างปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธุรกิจการเกษตร (AGRI)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ
"ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนเมษายนเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวค่อนข้างกว้างอยู่ในช่วง 1724-1801 จุด โดยแรงกดดันการลงทุนหลักมาจากการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย Bond Yield ของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะ 3% และมูลค่าขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียในช่วงนี้ และนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ และปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนติดตาม
ผลสำรวจชี้ว่าทิศทางการลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นจากความคาดหวังผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนและภาวะเศรษฐกิจในประเทศ โดยมีประเด็นติดตามความชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้หรือไม่ หลังจากการประชุมในเดือนพฤษภาคมไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ปัญหาการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในซีเรียและการประกาศเตรียมถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านของสหรัฐเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุดที่นักลงทุนติดตามอย่างใกล้ชิดถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในภูมิภาค นอกจากนี้สถานการณ์ทางการเมือง สำหรับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาของส.ส.และส.ว. ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญและจะส่งผลต่อกำหนดการเลือกตั้ง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนในประเทศเฝ้าติดตาม สำหรับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ นั้น ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ 1. อัตราการขยายตัวของ GDP จีนในไตรมาสแรกปี 2018 ที่ 6.8% เป็นไปตามคาดการณ์ ขณะที่ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าจะได้ข้อสรุป 2.การปรับตัวผันผวนของราคาน้ำมันที่มีการเคลื่อนไหวทะลุ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศในช่วงนี้" นางวรวรรณ กล่าว