นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อการก้าวสู่อาณาจักรพลังงานครบวงจร หลังจากที่ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการเชิงพาณิชย์ในโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ โครงการปาล์น้ำมันครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดยบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กับพันธมิตรอีก 2 ราย โดยได้เริ่มเดินเครื่องจักรผลิตน้ำมันไบโอดีเซล หรือ B100 และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค หรือ โอเลอีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจักรผลิตน้ำมันได้เต็มกำลังการผลิตภายในมิถุนายน 2561 ตามแผนที่ได้วางไว้ โดยโครงการดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 450,000 ลิตรต่อวัน และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค 200,000 ลิตรต่อวัน โครงการดังกล่าวจะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อปี
รวมถึงการเข้าลงทุนเพิ่มเติมใน บริษัท จิตรมาส แคเทอริ่ง จำกัด หรือ JTC ผ่านบริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTGเพื่อสนับสนุนการเติบโต และพัฒนาของกลุ่มธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่มภายใต้เครือข่ายของบริษัทฯ ให้มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด
ในขณะที่ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าร่วมลงทุนกับบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS โดยการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ จำนวน 1 บริษัท คือ บริษัท บีพีทีจี จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 60% เพื่อประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมัน บริเวณด้านหน้าคลังน้ำมันพิจิตร คลังน้ำมันนครลำปาง และสถานีสูบถ่ายน้ำมันกำแพงเพชรของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายในการเพิ่มเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน และแก๊สให้ครบ 2,000 สาขา และเพิ่มธุรกิจ Non-oil ต่างๆ เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับสถานีบริการ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันให้เพิ่มขึ้น 20-25% จากปีก่อน และคงเป้า EBITDA เพิ่มขึ้น 40-45% จากปีก่อน รวมถึงตั้งงบลงทุนไว้ที่ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,000-3,300 ล้านบาท ธุรกิจ Non-oil 500-700 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 500-1,000 ล้านบาท เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์กรในระยะยาว
"เรายังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นธุรกิจน้ำมัน หรือ Non-oil เพื่อให้ PTG เป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานครบวงจรอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจน้ำมันเพียงอย่างเดียว ซึ่งในปีนี้จะเห็นภาพการขยายของ Non-oil ที่ชัดเจน และจะเริ่มส่งผลกำไรที่ชัดเจนมากขึ้นด้วย ส่วนเป้าหมายการเติบโตในปีนี้เรายังคงการคาดการณ์เหมือนเดิม จากปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น รายได้จากธุรกิจ Non-oil ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเรามุ่งเน้นที่จะสร้างความหลากหลายให้กับสถานีบริการ เติมเต็มความต้องการของลูกค้า จากการมอบสินค้าที่สดใหม่ การให้บริการที่ประทับใจ และการให้สิทธิประโยชน์จาก บัตร PT Max Card ที่เชื่อมโยงสินค้าและบริการภายใต้เครือข่ายของพีทีจีเข้าด้วยกัน เพื่อเป็นที่หนึ่งในใจคนไทยทั้งประเทศ"นายพิทักษ์กล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ ประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 48.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 181 ล้านบาท และมีรายได้รวม 24,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,856 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้อยู่ที่ 20,896 ล้านบาท