การกลับเข้ามา Resume Trade ของหุ้นบริษัท เอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน) (NFC) ซึ่งถือเป็นการกลับเข้าเทรดครั้งแรกในรอบ 15 ปี หลังผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมกับปรับโฉมธุรกิจใหม่ โดยยุติการผลิตและขายปุ๋ย เปลี่ยนมาเป็นตัวแทนจำหน่ายเคมีภัณฑ์ และในอนาคต 5 ปีข้างหน้า พร้อมมุ่งสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ภายใต้จุดแข็งสามารถล้างขาดทุนสะสมได้เกลี้ยง โดยมีกำไรสะสมสูงถึง 243 ล้านบาท มีกระแสเงินสดกว่า 400 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.21 เท่า
เปิดตลาดภาคเช้า (15 มิ.ย.) ราคาหุ้น NFC อยู่ที่ 17.70 บาท/หุ้น และปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 17.90 บาท/หุ้น ก่อนปิดตลาดที่ 10.30 บาท/หุ้น ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 1,069.82 ล้านบาท
นายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน) (NFC) กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับการกลับมาของ NFC อย่างอบอุ่น หลังจากรอคอยการกลับเข้ามาเทรดอีกครั้งในรอบ 15 ปี พร้อมกับสถานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง โดยบริษัทฯมีแผนลงทุนโครงการปรับปรุงคลังสินค้าที่มีอยู่ปัจจุบันให้มีมาตรฐาน เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าและขยายฐานลูกค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2562 มูลค่าการลงทุน 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเตรียมลงทุนพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติม บนพื้นที่ 500 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทั้งด้านเทคนิค และการค้า รวมถึงการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาคลังสินค้าเหลวจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) คาดว่าจะสรุปผลและเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติโครงการดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาส 4/61
ทั้งนี้ NFC คาดว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ทั้ง 2 โครงการ ไม่ต่ำกว่า 2 หลัก โดยการลงทุนดังกล่าวบริษัทฯจะใช้ทั้งเงินสดและการกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทฯมีกระแสเงินสดในมีอประมาณ 300-400 ล้านบาท และมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำที่ระดับ 0.21 เท่า ทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องของการะดมทุนและจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับแผนขยายธุรกิจ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในแง่ของรายได้และกำไร โดยบริษัทฯตั้งเป้าก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรของไทย และคาดว่าภายในปี 2565 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริการคลังสินค้าและโลจิสติกส์จะขยับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 90% ขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจจำหน่ายเคมีภัณฑ์อยู่ที่ 10% เมื่อเทียบกับปัจจุบันรายได้หลักมาจากการจำหน่ายเคมีภัณฑ์กว่า 90%
"เรามองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ของ NFC จากความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่สำคัญ เหมาะสมและเอื้อต่อการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ครบวงจรทั้งการขนส่งทางถนน ทางรถไฟ และทางท่อ ที่ตั้งคลังสินค้ามีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ และธุรกิจของบริษัทฯ ถือว่ามีโอกาสขยายตัวอีกมาก จากโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ"นายณัฐภพกล่าวในที่สุด