นายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นเอฟซี จำกัด (มหาชน) (NFC) เปิดเผยว่า ได้เข้าซื้อหุ้น NFC ในกระดานเพิ่มอีก 52,885,332 หุ้น หรือคิดเป็น 4.86% ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น685,900,294 หุ้น หรือ 63.05% เนื่องจากมั่นใจในทิศทางธุรกิจของบริษัทฯในอนาคต หลังจากได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ จากธุรกิจการผลิตและจำหน่ายปุ๋ย มุ่งสู่การเป็นผู้จำหน่ายเคมีภัณฑ์ และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรของไทย สอดรับนโยบายของรัฐบาลที่มีการผลักดัน โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในเขตมาบตาพุด ที่คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการ EEC
"ผมเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของ NFC ในอนาคต จึงตัดสินใจซื้อหุ้นในกระดานเพิ่ม เพราะการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้มีการเตรียมแผนงานต่างๆ ไว้รองรับเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทฯ มีแผนลงทุนโครงการปรับปรุงคลังสินค้าพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าและขยายฐานลูกค้าในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2562 โดยใช้แหล่งเงินทุนจากเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ"
อีกทั้ง ยังเตรียมลงทุนพัฒนาคลังสินค้าเหลวเพิ่มเติม บนพื้นที่ 500 ไร่ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการทั้งด้านเทคนิค และการค้า รวมถึงการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาคลังสินค้าเหลวจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) คาดว่าจะสรุปผลและเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาอนุมัติโครงการดังกล่าวได้ในช่วงไตรมาส 4/61
"ทั้ง 2 โครงการที่เตรียมขยายการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ ได้มีการทำศึกษาอย่างละเอียด โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนจะ ไม่ต่ำกว่า 2 หลัก ซึ่งหากทางบริษัทตัดสินใจที่จะลงทุน เงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดหมุนเวียนที่มีประมาณ 300-400 ล้านบาท และกู้ยืมจากสถาบันการเงิน"
นายณัฐภพ กล่าวอีกว่า การที่ NFC ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ โดยหันมารุกธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร เนื่องจากมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในส่วนของทำเลที่ตั้ง (Location) ที่อยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นฐานของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ที่สำคัญ เหมาะสมและเอื้อต่อการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ครบวงจรทั้งการขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ และทางท่อ ที่ตั้งคลังสินค้ามีศักยภาพพร้อมที่จะพัฒนาเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ และธุรกิจของบริษัทฯ ถือว่ามีโอกาสขยายตัวอีกมาก จากโครงการ EEC ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ในช่วง 5 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ