"สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 12 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 25 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 420.73 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงาน 6 ที่ผ่านมา (1 ธ.ค.60 – 31 พ.ค.61) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -0.79% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ -0.67% ส่วนผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.67% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 2.86% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 พ.ค.61) " นายชัชชัยกล่าว
สำหรับจุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,500 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
นายชัชชัยกล่าวต่อไปว่า สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ต้นปีตราสารหนี้ไทยค่อนข้างมีความผันผวน โดยปัจจัยหลักมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2561 สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 12-13 มิ.ย.ที่ผ่านมา และตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะยังมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ประกอบกับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน กดดันค่าเงินในภูมิภาคเอเชียให้อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีเงินทุนไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตลาดตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง นายชัชชัยกล่าวว่า ความผันผวนต่อตลาดตราสารหนี้ไทยคาดว่ายังอยู่ในระดับสูง จากทั้งปัจจัยเรื่องจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงความกังวลของตลาดจากการตอบโต้เรื่องการเก็บภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยยังคงมีภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดีต่อเนื่อง สถานะความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารไทยยังไม่น่าเป็นห่วง ทุนสำรองยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงยังมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยังทรงตัวที่ 1.5% ถึงสิ้นปี
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน ABFTH สามารถซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset Contact Center 0 2673 3888
กองทุน รอบผลการดำเนินงาน อัตราเงินปันผล (บาท/หน่วย)
ABFTH 1 ธันวาคม 2560 - 31 พฤษภาคม2561 2.00
*คิดจาก NAV วันที่ 31 พ.ค. 61 **ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุน ABFTH ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือบลจ.กสิกรไทย หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน