(โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/709497/Ascensia_Diabetes_Challenge_Logo.jpg )
(รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/709496/Ascensia_Diabetes_Integration.jpg )
นวัตกรรมของ Whisk ที่ชนะการประกวดครั้งนี้ได้แก่ Culinary Coach ซึ่งใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการให้คำแนะนำด้านอาหารอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นรายบุคคล โดยประเมินจากรสชาติที่ชื่นชอบและอาหารที่เลี่ยงรับประทาน จากนั้นจะใช้ข้อมูลระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดสำหรับให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานต่อไป โดยในวันนี้ Whisk เตรียมนำเสนอโซลูชั่นที่คว้ารางวัลชนะเลิศดังกล่าวต่อแวดวงโรคเบาหวานเป็นครั้งแรก ที่งาน 2018 DiabetesMine D-Data Exchange Event ในเมืองออร์แลนโด
นวัตกรรมที่ Whisk ได้พัฒนาขึ้นนี้ เป็นแพลตฟอร์มโภชนาการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี AI ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดให้ผู้ใช้งานได้ค้นดูสูตรอาหารตามปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ตนชื่นชอบ ข้อจำกัดด้านเวลา งบประมาณ ข้อจำกัดด้านสภาพอากาศและอาหาร ไปจนถึงอาการแพ้ เมื่อผู้ใช้งานเลือกเพิ่มสูตรอาหารลงในแผนการทำอาหารของตนเองแล้ว ระบบก็จะเพิ่มสูตรอาหารดังกล่าวลงในรถเข็นช็อปปิงออนไลน์โดยอัตโนมัติ ตามร้านค้าปลีกของชำชั้นแนวหน้าของโลก ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อวัตถุดิบทำอาหารต่อไปได้โดยไม่สะดุด
ในฐานะผู้ชนะของการประกวดครั้งนี้ Whisk มีแผนที่จะมอบประสบการณ์ด้านอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยจะประเมินค่าวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด เพื่อให้คำแนะนำด้านอาหารที่ตรงกับลักษณะโรคเบาหวานของผู้ป่วยแต่ละราย เทคโนโลยี AI ในแพลตฟอร์มดังกล่าวจะใช้ค่าวัดจากระบบวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดของ Ascensia เพื่อวิเคราะห์ว่าค่าวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดของผู้ใช้งานนั้น ตอบสนองต่ออาหารและสูตรอาหารเฉพาะเจาะจงอย่างไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวางแผนการรับประทานอาหารเพื่อคุมระดับน้ำตาลให้เหมาะสม โดย Culinary Coach ที่รองรับโรคเบาหวานนี้ จะเริ่มด้วยการให้คำแนะนำด้านอาหารที่ตรงกับผู้ใช้งานแต่ละราย และในอนาคตจะพัฒนาให้ครอบคลุมอาหารกึ่งสำเร็จรูปและตัวเลือกร้านอาหารด้วย
ไมเคิล คลอส ซีอีโอและประธานของ Ascensia Diabetes Care กล่าวว่า "โภชนาการและการเลือกรับประทานอาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งในการรับมือกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยทางคณะกรรมการผู้ตัดสินและตัวผมเองนั้น รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับเครื่องมือของ Whisk ตลอดจนแผนการพัฒนาให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งนี้ การช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถค้นหาคำแนะนำด้านอาหารที่ทั้งตรงใจและดีต่อสุขภาพของตนเอง โดยประเมินจากค่าวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและอาหารที่ชื่นชอบนั้น เปิดโอกาสให้เราสามารถนำเสนอทางเลือกให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวนหลายล้านคน เพื่อให้พวกเขามีตัวเลือกอาหารที่ทั้งดีต่อสุขภาพและมีรสชาติอร่อยถูกปาก"
โซลูชั่นของ Whisk ได้รับการคัดเลือกจากผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 116 ผลงาน จาก 25 ประเทศ โดย Whisk จะได้รับเงินรางวัล 100,000 ยูโร เพื่อนำไปสร้างและนำร่องบริการใหม่อันน่าตื่นเต้นนี้แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 พร้อมร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับ Ascensia Diabetes Care เพื่อนำเสนอโซลูชั่นนี้แก่ผู้ป่วย
เทคโนโลยีหลักของ Whisk ใช้ออนโทโลยีอาหารที่มีความครอบคลุม ซึ่งรู้จักในชื่อ Food Genome(TM) โดยเป็นการรวบรวมและทำความเข้าใจข้อมูลโภชนาการในระดับจุลภาคและมหภาค ตลอดจนสารประกอบรสชาติ การเก็บรักษา ราคา และโปรโมชั่นต่าง ๆ ปัจจุบัน Whisk เปิดให้ใช้บริการในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งมีผู้ใช้บริการจัดทำรายการสินค้าหรือช็อปปิงลิสต์ถึงห้าแสนรายการทุกเดือน ตามห้างค้าปลีกอย่าง Walmart, Tesco และ Amazon Fresh
นิค โฮลเซอร์ ผู้ก่อตั้งแต่ซีอีโอของ Whisk กล่าวว่า "เรารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประกวด Ascensia Diabetes Challenge โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นเพิ่มระดับของการระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และ Whisk ก็ตื่นเต้นที่ได้คิดค้นโซลูชั่นที่เราคิดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต เราหวังว่าผลงานของเราร่วมกับ Ascensia Diabetes Care จะช่วยให้วิธีการจัดการอาการเปลี่ยนไป"
นอกจากตำแหน่งชนะเลิศแล้ว ยังได้มีการมอบรางวัลให้แก่รองชนะเลิศจำนวนสองรางวัล ได้แก่ Qstream จากสหรัฐที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากแพลตฟอร์มเรียนรู้ทางมือถือ ซึ่งผสมผสานคอนเซปต์การเรียนรู้แบบ spaced education เข้ากับระบบเกมที่น่าสนใจ แพลตฟอร์มนี้ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างสร้างสรรค์ และได้รับการพิสูจน์แล้วในการทดลองแบบสุ่มเพื่อลด HbA1c ในผู้ป่วยเบาหวาน [1] อย่างยั่งยืน ขณะที่รองชนะเลิศอีกราย ได้แก่ xBird บริษัทซอฟต์แวร์ทางการแพทย์จากเยอรมนีที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ของบริษัทวิเคราะห์การเคลื่อนไหวระดับจุลภาคที่เก็บข้อมูลด้วยสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์สวมใส่ เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบกับประวัติข้อมูลระดับกลูโคสในเลือดของผ้ป่วย โดยมีเป้าหมายเพื่อทำนายและตรวจจับความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งนี้ รองชนะเลิศทั้งสองรายจะได้รับเงินรางวัล 30,000 ยูโร เพื่อใช้ในการพัฒนาโซลูชั่นของตนเองต่อไป
ขณะเดียวกัน Walk With Path ยังเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ได้รับการยกย่อง จากนวัตกรรมแผ่นรองรองเท้าสำหรับผู้ป่วยโรคปลายประสาทอักเสบที่เกิดจากเบาหวาน นวัตกรรมนี้ทำงานด้วยการตรวจจับแรงสั่นสะเทือนระหว่างการเดินซึ่งจะถูกแสดงบนแอพ และออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยทรงตัวได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงในการล้ม โดย Ascencia จะให้การสนับสนุน Walk With Path ในการศึกษาความเป็นไปได้กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ไมเคิลกล่าวเพิ่มเติมว่า "เราตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับโซลูชั่นดิจิทัลคุณภาพสูงเหล่านี้ ที่จะมาช่วยปฏิวัติการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ผลงานที่ชนะรางวัลต่างเน้นย้ำให้เห็นว่าเรากำลังเข้าสู่โลกแห่งสุขภาพดิจิทัล ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและดิจิทัลสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความต้องการเร่งด่วนที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง"
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกวด Ascensia Diabetes Challenge รวมถึงคณะกรรมการ และเกณฑ์การตัดสิน กรุณาเข้าชมที่ https://ascensiadiabeteschallenge.com
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ:
Joseph Delahunty, VP, Global Head of Communications
Ascensia Diabetes Care
อีเมล: [email protected]
อ้างอิง
[1] Kerfoot BP et al. Diabetes Care (2017) 40:1218-1225
ที่มา: Ascensia Diabetes Care