นายกระทรวง จารุศิระ ประธานกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า มองดัชนีตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังปี 2561 จะยังคงเคลื่อนไหวในรูปแบบไซด์เวย์ เพราะนอกเหนือจากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโต และผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังไม่พบปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่จะเข้ามาสนับสนุนให้สามารถปรับตัวขึ้นแรงได้ ทั้งนี้มองกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและมีโอกาสในการลงทุนที่โดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ กลุ่มหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ (logistics) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่ม High End กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงานปิโตรเคมี
"ตลาดตอนนี้อยู่ในภาวะ Sideway Down หากมีปัจจัยลบแรงๆ อาจทำให้ SET Index ปรับตัวลงหนักที่สุด คือระดับ 1,600 จุด ซึ่งเป็นจุดที่ตลาด Breakout ขึ้นมาได้ในปีที่แล้ว แต่ในระยะยาว เรายังมองไม่เห็นปัจจัยใหม่อื่นๆ ที่จะมีผลกระทบต่อการขึ้น-ลงของดัชนีอย่างรุนแรง แต่ที่ต้องจับตาคือหนี้สินภาคครัวเรือนที่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นทุกปี" นายกระทรวง กล่าว
ขณะที่ นายจุติ เสนางคนิกร กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด ให้มุมมองตลาดครึ่งหลัง ปี 2561 ผ่าน SET50 และตลาด TFEX Set50 ว่า จากข้อมูลในอดีตตลาด SET และ SET50 ตั้งแต่ปี 1975-2017 การเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีทิศทางไปทางบวกแต่จะมีการย่อตัวเพียงเล็กน้อยในเดือนพฤศจิกายน โดยมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมที่ +1.30% เดือนสิงหาคมที่ +0.25% เดือนกันยายนที่ 0.12% เดือนตุลาคมที่ +1.32% เดือนพฤศจิกายน ที่ -0.44% และเดือนธันวาคมที่ +2.38% ดังนั้นเดือนที่ควรระมัดระวังในการลงทุนคือเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ในเชิงของเทคนิคคอล มองว่าตลาด SET50 ในช่วง 6 เดือนหลังของปีนี้ มีกรอบของราคาอยู่ที่ 1,143-1,202 จุด หากราคายังไม่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,043 จุด ได้จะทำให้ตลาดมีทิศทางลงต่อ ซึ่งแนวรับที่สำคัญจะเป็น 1,107 และ 1,087 ตามลำดับ และแนวต้านที่สำคัญจะเป็น 1,172 และ 1,187 ตามลำดับ
ด้าน นายปุณยวีร์ จันทรขจร กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด กล่าวว่า จำเป็นต้องติดตามปัจจัยการลงทุนทั้งสามมิติ ทั้งด้านเทคนิคอล พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนในประเทศ และปัจจัยภายนอกประเทศ โดยด้านเทคนิคอล มองกราฟตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสเปลี่ยนมาเป็นภาวะขาขึ้นหรือตลาดกระทิง (Bullish) แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทจดทะเบียน และพื้นฐานภายในและภายนอกประเทศอื่นๆ ที่จะเข้ามากระทบ
อย่างไรก็ตามมองพื้นฐานภายในประเทศ มีปัจจัยบวกทั้งในเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่เติบโตดีขึ้นเกือบทุกอุตสาหกรรม และผลบวกจากความคืบหน้าการลงทุนพื้นที่เศรษฐกิจอีอีซี (EEC) ตลอดจนถึงการกำหนดการเลือกตั้งที่ชัดเจน โดยจากสถิติที่น่าสนใจในช่วง 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้นและให้ผลตอบแทนเป็นบวกในระดับ 4-5 % สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศที่ต้องจับตา ได้แก่ กรณีค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนค่าในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปี ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ และกรณีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เป็นต้น
นายปุณยวีร์ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้พิจารณาตามสภาวะตลาดที่ผันผวน โดยในจังหวะขาขึ้นทำกำไร เน้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จังหวะลงหลุมหลบภัย แนะให้โยกเงินลงทุนในกลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มค้าปลีก และจังหวะที่ไม่มีเวลาเฝ้าจอ แนะนำให้เก็บเงินสด นอกจากนี้ยังแนะนำเครื่องมือเพื่อสร้างกระแสเงินสดอื่นๆ อาทิ ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ประเภทสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้ง Set50 index Future, Gold Future, Single stock Future ฯลฯ
สอดคล้องกับ นางสาวกนิษฐา รอดดำ กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด ซึ่งให้คำแนะนำการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เช่น SET50 Future Index, SET50 Options, Single Stock Futures, USD Futures, GOLD Futures, GOLD-D, และ RSS3D Futures ที่สามารถลงทุนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง นอกจากนี้ควรศึกษาผลิตภัณฑ์ Derivative warrants (DW) เพื่อเป็นทางเลือกในการลงได้ทั้งภาวะตลาดขาขึ้น และขาลง ได้เช่นเดียวกัน
นายกระทรวง ยังกล่าวด้วยว่ากลุ่มซุปเปอร์เทรดเดอร์ฯ ได้เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าไปสมัครใช้งานแอพลิเคชั่นโซเชียลเทรดดิ้ง Skynet Stock Trading ผ่านแพลตฟอร์ม IOS และ Android ได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป หลังผ่านการทดสอบการใช้งานและให้ความเห็นในการพัฒนาฟังก์ชั่นและ UI,UX จากเทรดเดอร์ชั้นนำกว่า 100 คน ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา