ธนาคารโลกชี้ความมั่งคั่งเปลี่ยนมือ ประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลางเตรียมทะยานสู่ความร่ำรวย

จันทร์ ๐๒ กรกฎาคม ๒๐๑๘ ๑๘:๐๗
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ร่วมกับธนาคารโลก หรือ The World Bank Group เผยรายงานล่าสุด หัวข้อ "การเปลี่ยนแปลงความมั่งคั่งแห่งชาติสู่การสร้างอนาคตที่ยั่งยืน" (The Changing Wealth of Nation 2018: Building a Sustainable Future) ระบุสถานการณ์ทุนทางธรรมชาติและทุนมนุษย์ สามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริง ชี้ประเทศรายได้ต่ำ-ปานกลางเริ่มหันมาใช้นโยบายเพื่อบริหารจัดการความมั่งคั่ง หวังตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมแนะ "ทุนมนุษย์" คือกุญแจสู่ความมั่งคั่ง จำเป็นต้องเร่งพัฒนาท่ามกลางสิ่งท้าทายมากมายในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาพสังคมสูงวัย ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ความสำคัญของแรงงานที่มีต่อจีดีพีส่อลดลงต่อเนื่อง

นายเควนติน วอดอน ผู้แทนจากธนาคารโลก และหนึ่งในคณะผู้จัดทำรายงาน เปิดเผยว่า การใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นเครื่องมือชี้วัดอัตราการเจริญเติบโลกของเศรษฐกิจนั้น ยังไม่สามารถสะท้อนภาวะที่แท้จริงของเศรษฐกิจประเทศนั้น ๆ ในระยะยาวได้ รายงานชิ้นนี้จึงได้นำเสนอตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ที่ได้ประมวลข้อมูลสถิติ 4 ด้านสำคัญมาพิจารณา ได้แก่ ทุนด้านการผลิต ทุนจากทรัพยากรธรรมชาติ ทุนมนุษย์ และการลงทุนทุนต่างประเทศ ซึ่งธนาคารโลกเห็นว่าสามารถแสดงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว และสะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศออกมาได้

เนื่องจากจีดีพีเป็นเครื่องชี้วัดที่แสดงถึงรายได้และผลผลิตของประเทศเท่านั้น แต่มิได้บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร รวมถึงสินทรัพย์ของชาติบนพื้นฐานความเป็นจริง ดังนั้น จีดีพีจึงอาจส่งสัญญาณผิดๆ เกี่ยวกับความแข็งแรงของเศรษฐกิจ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าต้นทุนของประเทศนั้นๆ ได้ลดลงหรือเสื่อมถอยลงไปมากน้อยเพียงใดแล้ว นอกจากนี้หากปราศจากข้อมูลที่ถูกต้อง การดำเนินการลงทุนด้านต่าง ๆ หรือการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนก็อาจไม่สอดคล้องกับอัตราขยายตัวของประชากรและเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง

ดร.กมลินทร์ พินิจภูวดล ผู้อำนวยการ ITD กล่าวว่า "รายงานของธนาคารโลกฉบับนี้มีข้อมูลที่มีความน่าสนใจมาก นอกจากนี้รายงานฉบับนี้เป็นรายงานที่ได้ต่อยอดจากรายงานของธนาคารโลก 2 ก่อนหน้านี้คือ Where is the Wealth of Nations ? Measuring Capital for 21st Century (2006) และ The Changing Wealth of Nations Measuring Sustainable Development in the New Millennium (2011)

รายงานฉบับนี้ทำให้เห็นการเติบโตของความมั่งคั่งที่มีนัยสำคัญในช่วง 20 ปีที่ทางคณะจัดทำติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลความมั่งคั่งทั่วโลกจาก 141 ประเทศ ในช่วงระหว่างปี 2538 – 2557 กว่า 1,500 ครัวเรือน จนได้ข้อมูลที่น่าสนใจ และเปิดมุมมองใหม่เรื่องตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจให้แก่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อนำมาประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง นอกจากนั้นยังพบว่า ความยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 จะมิได้ขึ้นอยู่กับทุนด้านการผลิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นจากการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ผ่านการทำงานอย่างเข้มข้นของสถาบันต่างๆ และภาครัฐในแต่ละประเทศ

ธนาคารโลกได้อธิบายถึงแนวโน้มโลกและภูมิภาคต่างๆ ระหว่างปี 2538 – 2557 ว่า ประเทศรายได้ปานกลางกำลังก้าวขึ้นไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง โดยความมั่งคั่งของโลกได้เพิ่มขึ้น 66% จาก 690 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปอยู่ที่ 1,143 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการเพิ่มขึ้นอย่างสุดโต่งของจำนวนประเทศรายได้ระดับกลาง ที่เพิ่มขึ้นจาก 19% มาอยู่ที่ 28% ขณะที่จำนวนประเทศรายได้สูง มีสัดส่วนลดลงจาก 75% มาอยู่ที่ 65% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นผลสะท้อนของปรากฎการณ์ "ความรุ่งโรจน์แห่งเอเชีย" (Rise of Asia) ซึ่งเปลี่ยนผ่านจากสถานะประเทศรายได้ต่ำมาเป็นประเทศรายได้ปานกลางภายในหนึ่งชั่วอายุคน ยังต้องระวังการเกิดช่องว่างจากความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง

ตามรายงานล่าสุดนี้ระบุว่า แม้บางประเทศจะมีอัตราเติบโตของความมั่งคั่งต่อหัวต่อคนสูง แต่ก็เป็นเพราะมีการขยายตัวของประชากรน้อย จีดีพีที่สูงขึ้นจึงไม่สามารถสะท้อนว่าเศรษฐกิจดีขึ้นจริงๆ ในทางตรงกันข้ามพบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ว่า จำนวนประชากรที่เติบโตอย่างรวดเร็วและการมีประชากรวัยหนุ่มสาวจะเป็นประโยชน์มาก ในกรณีที่มีการลงทุนเพียงพอและเหมาะสมกับแรงงานคนรุ่นใหม่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาคนควบคู่ไปด้วย

ทุนทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนา

ตามรายงานฉบับนี้ได้มีการกำหนดทุนทรัพย์เป็น 2 ประเภท คือ ทุนทรัพย์ที่สร้างเอง (Renewable) และทุนทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างเอง (Non-Renewable) ทั้งนี้ทรัพยากรธรรมชาติถือว่าเป็นทุนทรัพย์ประเภทแรกที่เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของประเทศรายได้ต่ำ ทั้งนี้ ในปี 2557 ทุนทรัพยากรธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนถึง 47% ของความมั่งคั่งทั้งหมด โดยส่วนใหญ่ประเทศรายได้ต่ำพึ่งพาทุนด้านนี้มากถึง 27% ขณะที่ประเทศร่ำรวยจะพึ่งพาทุนทางทรัพยากรธรรมชาติลดน้อยลงเรื่อยๆ ตามลำดับ ตั้งแต่รายได้ปานกลางไปจนถึงรายได้สูง ในทางตรงกันข้ามพบว่าประเทศรายได้ปานกลางจนถึงรายได้สูงจะมีการพึ่งพาทุนมนุษย์มากขึ้นถึง 70%

สาเหตุที่หลายประเทศลดการพึ่งพาทุนทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ สืบเนื่องจากหลายประเทศหันมาเพิ่มการพัฒนาทุนด้านการผลิตมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มการพัฒนาทุนมนุษย์ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจในประเทศหนึ่ง ๆ สามารถก้าวข้ามจากสถานะประเทศที่ยากจนและไม่มีทุนทรัพย์ที่สร้างเองไปสู่การเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้จะต้องเน้นการลงทุนในทุนมนุษย์ โครงสร้างพื้นฐาน และทุนการผลิตอื่น ๆ ยกเว้นประเทศตะวันออกกลางที่ยังพึ่งพาทุนธรรมชาติสูง ซึ่งวันวันหนึ่งจะหมดสิ้นไป เนื่องจากเป็นทุนทรัพย์ที่ไม่ได้สร้างเอง (Non-Renewable)

ทั้งนี้ ทุนทรัพยากรธรรมชาติมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ระหว่างปี 2538 – 2557 แบ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใหม่ได้ เช่น น้ำมันดิบ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 308% ขณะที่ทรัพยากรที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ เช่น ป่าไม้ ที่ดินทางการเกษตร ขยายตัว 44% อันเป็นผลมาจากการบริหารจัดการ เช่น การพัฒนาป่าไม้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว การเพิ่มผลผลิตต่อไรในพื้นที่การเกษตร

และถึงแม้ว่าการปรับปรุงเรื่องจัดการทรัพยากรธรรมชาติ จะไม่ปรากฎตัวเลขในบัญชีถึงผลที่ได้รับอย่างชัดเจน แต่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากการนี้ กลับช่วยให้แรงงานและประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งการจัดการที่เหมาะสมสามารถใช้เทคโนโลยีและการจัดการที่มีประสิทธิภาพมาใช้เป็นเครื่องมือได้

ทุนมนุษย์ แรงขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ในรายงานฉบับนี้เป็นครั้งแรกที่มีการนำทุนมนุษย์มาเป็นเครื่องชี้วัดถึงความมั่งคั่ง โดยพิจารณาจากมูลค่ารายรับรวมในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับจากแรงงาน ตลอดอายุการทำงานของแรงงาน 1 คน ทั้งนี้ ในปี 2557 ทุนมนุษย์เฉลี่ยต่อคน มีมูลค่า 108,654 ดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นจากปี 2538 ซึ่งอยู่ที่ 88,874 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 2 ใน 3 ของความมั่งคั่งทั่วโลก นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพและมีฝีมือจะเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจระดับโลกอย่างยั่งยืน

โดยประเทศรายได้ต่ำและประเทศรายได้ต่ำถึงกลาง กำลังมีสัดส่วนความมั่งคั่งด้านต้นทุนมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 32% ไปอยู่ที่ 43% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากความพยายามพัฒนาต้นทุนมนุษย์และต้นทุนการผลิต แม้ว่าอัตราขยายตัวของประชากรจะลดลงและจำนวนประชากรที่มีอยู่ส่วนใหญ่กลายเป็นผู้มีการศึกษาดีขึ้น และเมื่อพิจารณาในแง่มุมเรื่องเพศของทุนมนุษย์พบว่า ทั่วโลกมีแรงงานผู้หญิงเพียง 38% ของต้นทุนมนุษย์ที่มีผลต่อความมั่งคั่งประเทศเท่านั้น ขณะที่แรงงานชายมีสัดส่วนถึง 62% เนื่องจากผู้หญิงได้ค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าผู้ชาย สืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย ซึ่งรายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการสร้างโอกาศของความเป็นเพศหญิงจะสามารถยกระดับความมั่งคั่งของประเทศนั้นอย่างยั่งยืนกว่าเดิม

อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวได้กล่าวถึงผลกระทบจากเทคโนโยลีเช่นหุ่นยนต์มาแทนที่มนุษย์ทำให้มีย์มีแนวโน้มที่ลดการพึ่งพาแรงงานมุนษย์มากยิ่งขึ้น ส่งผลต่อศักยภาพของประเทศที่จะสร้างความมั่งคั่ง เพราะเทคโนโลยีทำให้เราพึ่งพาแรงงานน้อยลง อีกทั้งค่าแรงโดยทั่วไปยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นเท่าที่ควร รวมถึงปัจจัยเรื่องอายุแรงงานที่เพิ่มขึ้นในหลายๆประเทศ

กล่าวโดยสรุปรายงานฉบับนี้ได้ให้มุมมองใหม่สำหรับการประเมินเศรษฐกิจและความยั่งยืน นอกเหนือไปจากเครื่องชี้วัดแบบดั้งเดิมเช่นจีดีพี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับคุณภาพขององค์กรและระบบการบริหารจัดการต่าง ๆ(Quality of Institution and Government System) ของเราและภาครัฐว่าจะเข้ามาจัดการผลผลิตจากความมั่งคั่งและบูรณาการรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อให้ประชาชนโดยมีการเปิดโอกาสให้สังคสมมีส่วนร่วมในการพัฒนา ซึ่งจะสร้างทุนทางสังคม (Social Capital) ที่มีมูลค่ามหาศาลเพราะเป็นทุนทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดสิ้น

ข้อมูลตารางแสดง : รูปแบบการใช้สินทรัพย์เพื่อความมั่งคั่งในแต่ละกลุ่มประเทศ

ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติม :

ปี 2554 ธนาคารโลกปรับฐานะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง จากเดิมที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับล่าง โดยในแต่ละปีธนาคารโลกจะทำการทบทวนการจัดกลุ่มประเทศต่างๆ ในโลกจากการประเมินรายได้ประชาชาติต่อหัว (GNI per capita) โดยใช้วิธีที่เรียกว่า Atlas method ณ วันที่ 1 กรกฏาคม 2554 ประเทศที่ถือว่ามีรายได้ปานกลางระดับสูง คือประเทศที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 3,976 – 12,275 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 118,662 - 366,337 บาท) ด้วยวิธี Atlas method ดังกล่าว ปัจจุบันรายได้ประชาชาติต่อหัวของประเทศไทยมีมูลค่าเท่ากับ 4,210 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 125,756 บาท)

ข้อมูลสถิติ 4 ด้านที่นำมาพิจารณา ประกอบด้วย

1. ทุนด้านการผลิต (Produced capital and urban land) เช่น เครื่องจักร อาคารบ้านเรือน ที่ดินในเมืองเพื่อการอยู่อาศัยและไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัย

2. ทุนทรัพยากรธรรมชาติ (Natural capital) แบ่งเป็นทุนพลังงาน (เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ) แร่ธาตุ ที่ดินการเกษตร ป่าไม้

3. ทุนมนุษย์ (Human capital) ไม่มีการแบ่งแยกเรื่องเพศและสถานะการจ้างงาน (ครอบคลุมทั้งบุคคลที่มีงานทำและว่างงาน)

4. ทุนต่างประเทศ (Net foreign assets) หมายถึงผลรวมของสินทรัพย์สุทธิจากต่างประเทศของชาตินั้นๆ เช่น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทุนสำรองระหว่างประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version