นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เปิดเผยว่าในวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 บริษัทได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปร่วมงาน"RHB-Okasan Tokyo Conference 2018"โดยบริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จัดร่วมกับ Okasan Securities Co Ltd ที่ Okasan Office เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
การโรดโชว์ในครั้งนี้มีกองทุนตอบรับเข้าร่วมรับฟังข้อมูล 7 กองทุน ประกอบด้วย Fukoku Capital, Mercuria, Okasan Asset Management, Daiwa SB Investment, Meiji Yasuda Asset Management, Sumitomo Mitsui Asset Management และ Nissay Asset Management
ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนนำเสนอข้อมูลการลงทุน (โรดโชว์) ต่างประเทศ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 2/61 ที่ไปโรดโชว์นักลงทุนฮ่องกง ร่วมกันกับ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง และที่ประเทศญี่ปุ่น โดยร่วมกันกับ บริษัทหลักทรัพย์อาร์เอชบี (ประเทศไทย) นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/61 บริษัทยังมีแผนเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ ร่วมกันกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนดอยซ์ ทิสโก้ จำกัด
ที่ผ่านมานักลงทุนได้ให้การตอบรับเป็นอย่างมากและได้มีการเข้ามาขอข้อมูลเพื่อความชัดเจน จากการที่ภาครัฐบาลเตรียมออก พ.ร.บ.กำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน โดยไม่ได้จำกัดดอกเบี้ยไว้ที่ 15% ตามที่นักลงทุนมีความกังวล แต่ให้คิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ และอีกหนึ่งประเด็นที่นักลงทุนสนใจอย่างที่มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 ซึ่งทางบริษัทได้มีการเตรียมการมานานแล้ว และไม่มีปัญหาในการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่แต่ประการใด
สำหรับภาพรวมของผลประกอบการในไตรมาส 2/61 บริษัทคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 จะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/61 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 2.34 พันล้านบาทและกำไรสุทธิอยู่ที่ 834 ล้านบาท โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ ขณะเดียวกันบริษัทจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจากปัจจุบันที่มีอยู่ 2,810 สาขา คาดว่าจนถึงสินปีจะมีสาขาตามแผนที่ 3,000สาขา
"เป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้ มั่นใจว่าจะทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่อง โดยรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ จะทำสถิตใหม่สูงสุด จากปีก่อนที่ทำได้ 2.5 พันล้านบาท เป็นการเป็นการเติบโตตามยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ที่บริษัทคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท"
นายชูชาติกล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่มีเทศกาลค่อนข้างมากและเป็นช่วงเปิดเทอม จึงทำให้มีความต้องการสินเชื่อค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ทั้งนี้สัดส่วนสินเชื่อค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ทั้งนี้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้บริษัทจะควบคุมไม่ให้เกิน 1.5%
นอกจากนี้ บริษัทฯได้วางไว้เป้าหมายระยะ 3 ปี (61-63) มีรายได้ กำไรสุทธิ และยอดปล่อยสินเชื่อเติบโตไปในทางเดียวกันหรือเฉลี่ยปีละ 35-40% โดยมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนของภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายของภาคประชาชน โดยสินเชื่อก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ขณะที่แหล่งเงินทุนที่จะรองรับการขยายตัวของธุรกิจบริษัทคาดว่ายังคงเพียงพอทั้งจากกระแสเงินสดและการกู้จากสถาบันทางการเงินที่บริษัทคุมหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ให้เกิน 4 เท่า จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน