นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Mr.Viwat Techapoonphol, Deputy Managing Director, Head of Technical Analysis, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค ตามความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทำให้อัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของไทยปรับลงมาอยู่ที่ 14 เท่า ณ ดัชนีที่ 1,585 จุด ถือเป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต และหากพิจารณาตามปัจจัยทางเทคนิคแล้วประเมินว่าในเดือนกรกฎาคม 2561 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสดีดตัวขึ้นแตะแนวต้านที่ 1,650 -1,670 จุดได้ จากนั้นจะปรับลงสู่แนวรับที่ 1,540-1,580 จุดอีกครั้ง ตามสถานการณ์ตลาดทั่วโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนมิถุนายน 2561 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยแล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท หากยังขายต่อคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณไม่เกิน 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก ขณะที่ในปีนี้ประเทศไทยยังมีปัจจัยบวกเรื่องการเลือกตั้งรออยู่ โดยคาดว่ารัฐบาลจะประกาศวันเลือกตั้งภายในเดือนกันยายน 2561 ดังนั้น ในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนธันวาคม 2561 ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 1,750-1,800 จุด ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับดัชนีเมื่อต้นปี 2561 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 0%
ขณะที่ในปี 2562 จะมีปัจจัยลบมากมายจากทั่วโลก ทั้งสภาพคล่องที่ลดลงจนอยู่ในระดับติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ปี เนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกเข้มงวดขึ้น แม้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบอยู่ก็ตาม แต่ไม่เพียงพอต่อสภาพคล่องที่ Fed และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดึงออกจากระบบ
ประกอบกับ Fed น่าจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2561 และ 3 ครั้งในปี 2562 ซึ่งจะทำให้เงินไหลกลับไปลงทุนสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประเด็นสุดท้ายคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เริ่มทรงตัวในระดับต่ำที่ประมาณ 3.0% ซึ่งเป็นกังวลว่าอาจจะทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นสูงกว่าพันธบัตรระยะยาว (Invert) และนั่นเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเข้าสู่ขาลง จึงประเมินว่าหากสถานการณ์เป็นไปตามคาดในปี 2562 หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนติดลบ 14% โดยดัชนีสูงสุดของปีจะอยู่ที่ 1,800 จุด และดัชนีต่ำสุดที่ประมาณ 1,450 จุด
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้อาศัยจังหวะที่หุ้นปรับตัวลดลงในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทยอยซื้อสะสม จากนั้นให้ถือต่อและรอขายในช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 โดยเดือนกรกฎาคมมีหุ้นเด่นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/2561 จะออกมาดี และมีปันผลระหว่างกาล คือ ANAN, INTUCH, IVL, KKP, MINT และ SCC
ทั้งนี้ งานสัมมนา TISCO Monthly GURU Updates เป็นหนึ่งในกิจกรรมสัมมนาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเผยแพร่บทวิเคราะห์และทิศทางการลงทุนเพื่อช่วยให้ลูกค้าทิสโก้และนักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ตามกลยุทธ์ของทิสโก้ในการเป็นผู้แนะนำการลงทุนชั้นนำหรือ Top Advisory House