บริษัท แอมโบรส ไวน์ จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่าย เกิดขึ้นเมื่อปี 1996 โดยคุณชวลิต เตชะไพบูลย์ ทีมีความชื่นชอบและให้ความสนใจเรื่องไวน์ ถึงขั้นสะสมและนำเข้าไวน์มาขายในเมืองไทย จนถึงปัจจุบันนับเป็นระยะเวลาถึง 22 ปี แล้ว ที่ บริษัท แอมโบรส ไวน์ จำกัดเกิดขึ้นและเป็นบริษัทนำเข้าและจัดจำหน่ายไวน์ชั้นนำ กว่า 70 แบรนด์ จาก 14 ประเทศทั่วโลก โดยนำเข้า แบรนด์ชั้นนำของโลก อาทิ บารอน ฟิลิปส์ เดอ รอสชิลด์ ที่มีมูตอง คาเด้เป็นแบรนด์หลัก, ฮาร์ดี้ส์, โรเบิร์ต มอนดาวี่ และนำเข้าสุราอีกกว่า 30 แบรนด์
ปัจจุบัน แอมโบรส ไวน์ ขยายสาขาในประเทศไทย ไปยังจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว 3 แห่งที่ได้รับความนิยม ทั้งจากคนไทยและชาวต่างชาติ นั่นคือจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และ สมุย เพื่อควบคุมสต๊อกและการบริการสินค้าให้เพียงพอกับโรงแรมและร้านอาหารในแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ส่วนพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือจังหวัดใกล้เคียง ทางบริษัทฯ สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง
ภัทราพร เตชะไพบูลย์ หะรินสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมโบรส ไวน์ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษในโอกาสจัดกิจกรรม งาน " Mouton Cadet 3.0 Launch Soiree" ในบรรยากาศ Sit Down Dinner ในโอกาสที่ แอนโทนี่ กอร์เมล ผู้บริหารทางด้านการตลาดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก จาก บารอน ฟิลลิป เดอ รอทส์ไชล์ด ในฐานะ Representative Director at Baron Philippe de Rothschild South East Asia และถือโอกาสนี้แนะนำสินค้า Generation ใหม่ล่าสุดจาก Mouton Cadet (มูตอง คาเด้) ที่ทันสมัยมากขึ้น เราต้องการนำเสนอสินค้าที่ก้าวไปพร้อมกับตลาดที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา Mouton Cadet เป็นสินค้าที่ยังคงรักษาความเป็นอมตะของไวน์ Bordeaux แต่ในขณะเดียวกันยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ได้อย่างดี
ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1930 ไวน์ Mouton Cadet ขวดแรกได้ถูกผลิตและจำหน่ายโดย Baron Philippe de Rothschild (บารอน ฟิลลิป เดอ ร็อธส์ไชลด์) โดยในช่วงเวลานั้นองุ่นที่ใช้ในการผลิตไวน์ถูกคัดเลือกมาจากท้องตลาดทั่วไป Mouton Cadet รุ่นแรกเน้นศาสตร์แห่งกรรมวิธีการผลิตที่ได้มาตรฐานและศิลป์ของการคัดเลือกผลผลิตองุ่นจากพื้นที่ที่เหมาะสมในถื่นกำเนิดที่มีการระบุไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้รสชาติของน้ำไวน์มีความซับซ้อนและสง่างามสมกับที่เป็นไวน์จาก Bordeaux (บอร์โดซ์)
Generation ที่ 2 ของ Mouton Cadet เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2004 เมื่อ Baroness Philippines de Rothschild (บารอนเนส ฟิลลิปปิน เดอ ร็อธส์ไชลด์) บุตรีของ Baron Philippe de Rothschild ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับไวน์ Mouton Cadet ด้วยการพัฒนารสชาติของไวน์ให้มีความกลมกล่อมมากขึ้น เปลี่ยนฉลากบนขวดให้เหมาะสมกับตลาด ณ ช่วงเวลานั้น และเปลี่ยนระบบการจัดหาวัตถุดิบโดยการเซ็นต์สัญญาซื้อองุ่นระยะยาวกับไร่องุ่นหลายๆแห่ง แทนที่การซื้อองุ่นจากท้องตลาดทั่วไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ Mouton Cadet สามารถควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นไวน์ Mouton Cadet ดียิ่งขึ้น
วันนี้เราได้มาถึง Generation ที่ 3 ของ Mouton Cadet เมื่อปี ค.ศ. 2017 บริษัท Baron Philippe de Rothschild (บารอน ฟิลลิป เดอ ร็อธส์ไชลด์) ภายใต้การควบคุมของสามพี่น้องทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัว Rothschild ได้พัฒนา Mouton Cadet ต่อไป โดยเพิ่มการควบคุมวัตถุดิบจากเพียงบางส่วน เป็นการควบคุมพื้นที่ปลูกไวน์ทั้งหมดแบบครบวงจร ส่งผลให้สไตล์ของไวน์ Mouton Cadet มีความสม่ำเสมอ และชัดเจนยิ่งขึ้น รสชาติของน้ำไวน์มีความนุ่มนวล รวมถึงฉลากใหม่ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้ดูหรูหรามากขึ้น เหมาะสมกับตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นด้านคุณภาพตลอดเวลา
ไวน์จาก บารอน ฟิลิปป์ เดอ ร็อธส์ไชลด์ (Baron Philippe de Rothschild) มีความแตกต่างจากไวน์แบรนด์อื่นๆ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดเมืองไทยเนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและเชื่อมั่นในคุณภาพของไวน์ Bordeaux จากฝรั่งเศสมากอยู่แล้ว ประกอบกับ Mouton Cadet เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ของไวน์ Bordeaux และเป็นผู้ผลิตของไวน์ที่ขายดีเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ดังนั้นผู้บริโภคชาวไทยจึงมีความมั่นใจในคุณภาพของสินค้าจากผู้ผลิตเจ้านี้มากกว่าไวน์ฝรั่งเศสตัวอื่นๆ ทำให้ Mouton Cadet Bordeaux Rouge เป็นไวน์ฝรั่งเศสที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทยในปีที่ผ่านมา (ข้อมูลจาก IWSR Report) ซึ่งแสดงถึงความนิยมอย่างแพร่หลายในตลาด
คุณภัทราพร ยังกล่าวถึงแนวโน้มตลาดไวน์ ว่า ... หลายปีที่ผ่านมา การดื่มไวน์ เริ่มเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภท เหล้า หรือ เบียร์ ซึ่งมีระดับแอลกอฮอล์เข้มข้นมากกว่า ไวน์ โดยเฉพาะกลุ่มสุภาพสตรีพบว่ามีความนิยมมากขึ้น ตลาดไวน์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงอัตราการขยายตัวเพิ่มตาม แต่ต้องยอมรับว่า ตลาดไวน์ในประเทศไทย ไม่ใหญ่เท่ากับตลาด เหล้า หรือ เบียร์ ไวน์ถือเป็น lifestyle อย่างหนึ่ง ทำให้มีการเติบโตในตลาดไวน์อย่างต่อเนื่อง โดยมูลค่าตลาดไวน์มีมูลค่ารวม 1.8 ล้านลัง
เราจะสังเกตได้จากจำนวนไวน์บาร์ที่เปิดเพิ่มขึ้น เมื่อก่อนเราอาจจะได้เห็นไวน์บาร์แค่ในกรุงเทพ แต่ตอนนี้ต่างจังหวัดก็มีไวน์บาร์เก๋ๆ เปิดขึ้นมากมาย ทำให้คนในวัยทำงาน (young professional ) ช่วงอายุระหว่าง 20s – 30s ปี ที่ชอบการสังสรรค์หลังเลิกงานกลายเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญ ซึ่งทางแอมโบรส เรามีทั้งไวน์โลกเก่าและไวน์โลกใหม่ที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ ยกตัวอย่าง ไวน์Mouton Cadet generation ใหม่เป็นตัวอย่างที่ดีมากในการตอบโจทย์ให้กับนักดื่มรุ่นใหม่ที่นิยมในความซับซ้อนของไวน์โลกเก่า ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายและช่องทางจำหน่ายที่กว้างขวาง เรามีความมั่นใจในสินค้าตัวนี้ว่าจะเป็นหนึ่งในไวน์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตลาดไวน์ประเทศไทย
ในประเทศไทยกลุ่มผู้บริโภคหลักของไวน์มีหลากหลายทั้งคนไทย คนต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศ และ นักท่องเที่ยว โดยแต่ล่ะกลุ่มผู้บริโภคจะมีลักษณะในการบริโภคที่แตกต่างกันออกไป คนไทยจะนิยมไวน์แดงที่มีรสชาติเข้มข้น โดยส่วนใหญ่จะมีโอกาสดื่มเวลาไปสังสรรค์ตามร้านอาหารต่างๆ ตลาดคนต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นคนจากประเทศโซนยุโรป สหรัฐ และ ออสเตรเลีย ที่มาทำงานในประเทศไทย ลักษณะการบริโภคจะเหมือนที่ต่างประเทศคือดื่มไวน์กับอาหารเป็นกิจวัตร กลุ่มนี้จะนิยมทั้งไวน์ขาวและแดงตามความชอบส่วนตัว ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาจากโซนยุโรปสหรัฐ และ ออสเตรเลีย จะนิยมไวน์ขาวหรือไวน์โรเซ่ ที่รสชาตินุ่มนวลเพราะประเทศไทยอากาศร้อนและสามารถจิบได้ตลอดวัน ทั้งนี้ Mouton Cadet นอกเหนือจากไวน์แดง Bordeaux Rouge แล้วยังมี Bordeaux Blanc และ Ice Rose เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคแต่ล่ะกลุ่ม
สำหรับแนวโน้มตลาดไวน์ในประเทศไทย ปีที่แล้ว ตลาดไวน์ค่อนข้างจะเงียบเหงาจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา งานอีเว้นท์ งานรื่นเริงต่างๆ ถูกยกเลิก รวมทั้งสถานบันเทิงต่าง ๆ หลายแห่งปิดการให้บริการชั่วคราว อีกทั้งยังมีการปรับภาษีสรรพสามิตสุราในช่วงปลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย แต่ต้นปีนี้ครึ่งปีแรก แนวโน้มตลาดไวน์ ปรับตัวค่อนข้างดีขึ้นกลับสู่สภาวะปกติ และคาดว่าช่วง high season ปีนี้น่าจะคึกคักอีกครั้ง โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่า ในฐานะที่ บริษัท แอมโบรส ไวน์ แอนด์ สปิริต เป็นหนึ่งในผู้นำตลาด และมีประสบการณ์ด้านการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแอลกอฮอล์มามากกว่า 20 ปี โดยมีการจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร หรือห้างร้าน นอกจากนี้ยังมีการขยายช่องการขายผ่านทางออนไลน์ มากขึ้นโดยการจัดตั้งเว็บไซต์ของบริษัทซึ่งเป็นเครื่องช่วยดำเนินความสะดวกทำให้ลูกค้าสามารถสั่งตรงจากบริษัทได้โดยที่ไม่ต้องออกจากบ้าน
สำหรับแผนการตลาดในกระตุ้นยอดขายและในการจัดงานครั้งนี้ บริษัทฯ ตื่นเต้นมากที่จะนำเสนอสินค้าตัวนี้สู่ตลาด ผู้มาร่วมงานในวันนี้จะสามารถเห็นได้ว่าเราทุ่มทุนสร้างเพื่อที่จะให้งานเปิดตัวในค่ำคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษมากๆ สำหรับแขกผู้มีเกียรติของเราและทำให้สินค้าของเรานั้นเป็นที่น่าจดจำ หลังจากงานเปิดตัวในคืนนี้ เราจะเดินทางทั้งขึ้นเหนือและลงใต้ เพื่อเปิดตัวสินค้าตัวนี้รวมไปถึงเชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย ตลอดระยะเวลา 6 เดือนนี้จนถึงสิ้นปี เราได้วางแผนการจัดมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง" คุณภัทราพร กล่าวสรุป
ทางด้าน แอนโทนี่ กอร์เมล ผู้บริหารทางด้านการตลาดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก จาก บารอน ฟิลลิป เดอ รอทส์ไชล์ด ในฐานะ Representative Director at Baron Philippe de Rothschild South East Asia
กล่าวว่า ... "ประเทศไทยถือเป็นตลาดไวน์ที่สำคัญ และมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมา มูตอง คาเด้ เป็นไวน์ ฝรั่งเศล ที่มียอดจำหน่าย สูงสุดในประเทศไทย โดยในภูมิภาคเอเชีย มูตอง คาเด้ ครองตลาดไวน์ในประเทศไทย เป็นอันดับ 5 รองจาก ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และเกาหลี และสิ่งที่ทำให้มูตอง คาเด้ โดดเด่นและแตกต่างจากไวน์จากประเทศอื่นๆ ก็คือสไตล์ที่แปลกและแตกต่างซึ่งตอบโจทย์ให้กับทั้งผู้ที่เริ่มดื่มไวน์และผู้ที่มีประสบการณ์ในการดื่มไวน์จากปีหนึ่งสู่ปีถัดไป เรื่องราวโดดเด่นของแบรนด์มูตอง คาเด้นั้นเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1930 เมื่อ บารอน ฟิลลิปป์ เดอ ร็อธส์ไชลด์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับมันไปทั่วโลกโดยการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย จนถึงทุกวันนี้ เราเดินทางมาถึงสมาชิกครอบครัวรุ่นที่ 3 แล้ว และพวกเขาก็ยังคงเดินหน้าสร้างเรื่องราวของมูตอง คาเด้ อย่างต่อเนื่อง ไวน์เมกเกอร์ของมูตอง คาเด้ตัดสินใจที่จะร่วมงานและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับไร่องุ่นทั้งหมด 453ไร่เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมผลผลิตทั้งหมดในแคว้นบอร์โดซ์
สำหรับภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค ตอง คาเด้ นั้นได้พัฒนาและเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดของไวน์บอร์โดซ์ อย่างแข็งแกร่งในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา จุดมุ่งหมายของเราคือการรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำตลาดโดยการเจาะตลาดให้ลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิมแต่ถึงยังไงก็ตาม เราสามารถพูดได้ว่าภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิคนั้นได้กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของบริษัทและเรายังเห็นอนาคตที่สดใสและโอกาสที่จะเติบโตอีกด้วย" แอนโทนี่ กล่าวสรุป