นายเชิดชัย พรหมแก้ว รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงการพัฒนาเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็งว่า ขณะนี้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะปฏิรูปการเกษตรในขณะนี้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้จัดทำร่างยุทธศาสตร์ 20 ปี ในประเด็นการพัฒนากลุ่มเกษตรกรเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลยุดต่อไปได้ดำเนินการสานต่อ ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกร และสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพให้กับสมาชิกของกลุ่มเกษตรกร ตลอดจนหาแนวทางสำหรับพัฒนาการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรให้มีความเจริญก้าวหน้า และให้ความสำคัญกับกลุ่มสมาชิกเกษตรกร โดยจัดเวทีให้ได้มีการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้และทำความรู้จักกันมากขึ้น และหารือถึงแนวทางในการกำหนดอนาคตกลุ่มเกษตรกรที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็ง
นายเชิดชัย กล่าวต่อว่า รัฐบาลอยากจะให้ระบบสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ โดยนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดนี้คือการสนับสนุนให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าว เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องปริมาณผลผลิตล้นตลาดส่งผลทำให้ราคาข้าวตกต่ำ จะให้เกษตรกรในพื้นที่ภาคกลางลดพื้นที่ทำนาปรังลงประมาณ 2 ล้านไร่ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้มอบหมายให้ 5 กรม ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจพื้นที่ และสำรวจเกษตรกร ที่ทำนาทั้งหมด ว่าถ้าลดพื้นที่ทำนาแล้วจะให้เกษตรกรปลูกพืชอะไรทดแทน ซึ่งจะต้องเป็นพืชที่ตลาดมีความต้องการ
"กรมส่งเสริมสหกรณ์ในฐานะที่ดูแลสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ อยากให้ประธานกลุ่มไปพูดคุยกับสมาชิกของตัวเองว่าจะเข้าร่วมโครงการลดพื้นที่ปลูกข้าวของรัฐบาลหรือไม่ คาดว่าประมาณวันที่ 15 สิงหาคม นี้ รัฐบาลจะประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะให้เกษตรกรดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยจะเริ่มปฏิรูปจากพื้นที่ทำนาเป็นที่แรก เนื่องจากประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 158 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ใดที่ไม่เหมาะสมในการทำการเกษตร ทำแล้วเกษตรกรยังยากจนอยู่ต้องปฏิรูปใหม่ทั้งหมด เพื่อที่จะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรทุกคนอยู่ได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็อยากดูแลเกษตรกรให้อยู่ดีกินดี ดังนั้นจึงพยายามจะแก้ไขให้ตรงจุด ซึ่งเบื้องต้นจะดำเนินการในพื้นที่ทำนาก่อน ต่อไปจะขยายไปยังพืชชนิดอื่น อาทิ มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ "นายเชิดชัย กล่าว
ทั้งนี้ ขอฝากให้กลุ่มเกษตรกรนำความรู้ไปพัฒนากลุ่มตัวเองให้ได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรฯกำหนด และอยากเห็นกลุ่มเกษตรกรมีมาตรฐานเท่ากันและมีสิทธิเท่ากันทุกกลุ่ม เพื่อให้งบประมาณต่างๆ ที่รัฐบาลสนับสนุนลงไปยังกลุ่มเกษตรกรไม่เกิดการสูญเปล่า ซึ่งกรมฯจะเข้มงวดในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะอยากให้กลุ่มเกษตรและสหกรณ์ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานครบทุกแห่ง