นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า "ความคืบหน้าของกรณีลูกศิษย์ที่ครูวิภาได้ค้ำประกันและอาจถูกบังคับคดีจำนวน 17 รายนั้น ผู้กู้ได้มาปิดบัญชีแล้ว 5 ราย และมาติดต่อชำระบางส่วนแล้ว 3 ราย ที่เหลือกำลังทยอยติดต่อเข้ามา เชื่อว่าจะสามารถติดตามหนี้ได้ทั้งหมด โดยจะไม่มีการบังคับคดี สำหรับผู้ค้ำประกันรายอื่นๆ ที่เป็นข่าว จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมบังคับคดีและราชกิจจานุเบกษา ไม่พบข้อมูลว่าคุณครูท่านดังกล่าวถูกศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลายแต่อย่างใด ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูลด้านผู้ค้ำประกันในการกู้ยืมจากระบบ e-Studentloan ระหว่างปีการศึกษา 2551-2560 มีสถิติ ผู้ค้ำประกันจำนวน 2,548,086 ราย แบ่งเป็น มารดาบิดา 85% ญาติพี่น้อง 14% และครูอาจารย์ 0.17%
สำหรับกรณีที่ข่าวแจ้งว่ามีผู้กู้บางรายที่ครูวิภาค้ำประกันเป็นข้าราชการแต่ทำไมจึงไม่สามารถติดตามทวงหนี้ได้ กองทุนขอชี้แจงว่า สำหรับผู้กู้ตามข่าวที่อยู่ระหว่างบังคับคดีและยังมีภาระหนี้สินกับกองทุนนั้น กองทุนได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานราชการที่ถือครองข้อมูลแล้ว ไม่พบว่าบุคคลตามข่าวเป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำ ที่อยู่ในระบบจ่ายตรงเงินเดือนแต่อย่างใด ส่วนรายที่สามารถดำเนินการบังคับคดีได้นั้น เนื่องจากกองทุนได้ดำเนินการสืบหาทรัพย์สินแล้ว ไม่ปรากฎว่ามีทรัพย์สินที่ลูกหนี้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ นอกจากผู้ค้ำประกันที่มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น กองทุนจึงได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของ ผู้ค้ำประกัน
โดยที่ผ่านมา กองทุนได้มีมาตรการในการติดตามหนี้สินจากผู้กู้ยืม โดยขั้นตอนเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานเดียวกับสถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งของรัฐและเอกชนโดยมีวิธีการส่งหนังสือแจ้งภาระหนี้ครั้งแรกให้ผู้กู้ยืมที่ครบกำหนดชำระหนี้งวดแรกทราบเพื่อไปชำระหนี้ และส่งใบแจ้งหนี้ให้ผู้กู้ยืมทุกรายที่ครบกำหนดชำระหนี้ตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไปเพื่อไปชำระหนี้ หากผู้กู้ยืมผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งกองทุนจะดำเนินการ ส่งหนังสือติดตามทวงถามหนี้ค้าง ไปยังผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้ ส่ง SMS หรือข้อความเสียง (สำหรับรายที่กองทุนมีหมายเลขโทรศัพท์) รวมถึงติดตามหนี้ทางโทรศัพท์เพื่อเจรจาให้ลูกหนี้ชำระหนี้ หากมีการติดตามทวงถามโดยวิธีการต่างๆ แล้ว ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ จนผู้กู้มีหนี้ค้างชำระหลายงวด กองทุนจะมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและดำเนินคดีกับผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน โดยยื่นฟ้องผู้กู้ยืมต่อศาลที่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้าน ทั้งนี้ เมื่อถึงวันนัดพิจารณา หากผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกันมาศาล กองทุนจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความและให้โอกาสในการผ่อนชำระหนี้ต่อไปอีกเป็นเวลา 9 ปี และหากผู้กู้และผู้ค้ำประกันไม่มาศาล ศาลจะดำเนินการสืบพยานและมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้ หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว กองทุนจะดำเนินการติดตามให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันชำระหนี้ หากผู้กู้และผู้ค้ำประกันขอผ่อนชำระหนี้ กองทุนจะพิจารณาให้โอกาสในการผ่อนชำระ แต่หากยังไม่ชำระหนี้กองทุนจะดำเนินการบังคับคดี ภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด
สำหรับขั้นตอนในการบังคับคดี กองทุนจะขอศาลในการส่งคำบังคับไปยังภูมิลำเนาของลูกหนี้ตามคำพิพากษา โดยจะสืบหาทรัพย์สินที่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และขอหมายบังคับคดีต่อศาลเพื่อส่งให้กรมบังคับคดีทำการยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินของผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน เพื่อนำมาขายทอดตลาดต่อไป อย่างไรก็ตาม ทางกองทุนได้ประสานงานกับกรมบังคับคดีในการจัดมหกรรมไกล่เกลี่ยในชั้นบังคับคดี เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ตามคำพิพาษา ที่ถูกยึดทรัพย์ในการผ่อนชำระหนี้ได้อีกภายในระยะไม่เกินสามปีหรือภายในระยะเวลาที่กองทุนและลูกหนี้ตกลงกันเพื่อให้โอกาสแก่ลูกหนี้ และงดการขายทอดตลาดไว้ก่อน เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้เสร็จสิ้นกองทุนจะดำเนินการถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าว
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้กำหนดให้กองทุน มีอำนาจขอข้อมูลต่างๆ จากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทำให้กองทุน สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้กู้ยืมเพื่อให้ติดตามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และกองทุนมีอำนาจในการแจ้งหักเงินเดือนของผู้กู้ผ่านองค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนของข้าราชการกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานแรกแล้ว และจะดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนของข้าราชการทั้งหมดในลำดับถัดไป โดยในส่วนของภาคเอกชนจะเริ่มดำเนินการแจ้งหักเงินเดือนในต้นปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนผู้กู้ยืมที่ประกอบธุรกิจ โดยไม่ได้รับเงินเดือนผ่านนายจ้าง กองทุนจะดำเนินการติดตามหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ข้อมูลที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ และติดตามโดยวิธีการอื่นๆ ในมาตรฐานเดียวกับที่สถาบันการเงินทั่วไป เพื่อให้ได้เงินกลับคืนสู่กองทุนและนำไปใช้หมุนเวียนในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษารุ่นหลังต่อไป