งานสัมมนาวิชาการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ครั้งที่ 15 ประจำปี 2561 “เทคโนโลยีทางการคลัง (Fiscal Technology: FisTech)” (ช่วงบ่าย)

พุธ ๐๑ สิงหาคม ๒๐๑๘ ๑๗:๒๗
นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยผลการสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประจำปี 2561 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 15 ในหัวข้อ "เทคโนโลยีทางการคลัง (Fiscal Technology: FisTech)" เมื่อวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ ห้องแอทธินี คริสตัล ฮอลล์ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล กรุงเทพฯ และมีผู้ร่วมงานกว่า 700 คนว่า ในช่วงบ่ายเป็นการเสวนาในหัวข้อ "เศรษฐกิจดิจิทัล...อนาคตเศรษฐกิจไทย" โดยได้รับเกียรติจาก (1) ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (2) นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (3) นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และ (4) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เข้าร่วมการเสวนา โดยมีนายอมรศักดิ์ มาลา เป็นผู้ดำเนินรายการ สรุปได้ ดังนี้

ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ ได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกว่า เศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออกทั้งในส่วนสินค้าและบริการ อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป เนื่องจากการกีดกันทางการค้าจะทำให้บริษัทข้ามชาติชะลอการลงทุน รวมทั้งทำให้การจัดสรรทรัพยากรของโลกบิดเบือน นอกจากนี้ ความท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยในระยะต่อไป คือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่เข้าถึงระบบดิจิทัล ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในอนาคต อันใกล้ ได้แก่ เทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาความเร็วในการรับส่งข้อมูลและรองรับปริมาณข้อมูลจำนวนมหาศาล ดังนั้น หากประเทศไทยจะเดินเข้าสู่ยุคดิจิทัลในอนาคตอันใกล้ เรื่องของการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมผ่านเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง และการจัดสรรคลื่นให้เพียงพอจะเป็นประเด็นทางนโยบายที่สำคัญ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ได้กล่าวว่า เศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และจะนำไปสู่การยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล โดยแนวทางแรก คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนเข้าถึงอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และการออกกฎหมายดิจิทัลเพื่อรองรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง แนวทางที่สอง คือ การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการภาครัฐ รวมถึงการให้บริการประชาชน โดยเน้นการบูรณาการระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในการสร้างระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) แนวทางต่อมา คือ การพัฒนาและดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล เช่น การสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่จังหวัดภูเก็ต และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้สำหรับเยาวชนผ่านช่องทางออนไลน์ อีกทั้ง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการพัฒนาด้านเทคโนโลยี เช่น การสร้างเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เป็นต้น นอกจากนี้ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นโครงการที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลมีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนา EEC ประกอบด้วย การจัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ รถไฟความเร็วสูง ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและศูนย์ซ่อมบำรุง โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด และสัตหีบ รวมถึงรถไฟรางคู่เชื่อมท่าเรือดังกล่าว และรัฐบาลมีความพยายามที่จะผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยการสนับสนุน 5 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ อากาศยานและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ การแพทย์ครบวงจร และอุตสาหกรรมดิจิทัล นอกจากนี้ ได้มีการส่งเสริมการผลิตบุคลากรภายใน EEC ให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม และการกำหนดเขตนวัตกรรม EEC (EECi) และเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) เพื่อสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ ได้ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเข้าสู่เศรษฐกิจแบบดิจิทัล จะมีหลายอุตสาหกรรมที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจ โดยเห็นว่าระบบดิจิทัลจะทำให้เกิดการส่งผ่านมูลค่าทางเศรษฐกิจได้รวดเร็วขึ้น จากการมีเครื่องทุ่นแรง และมีสื่อที่สามารถกระจายไปตามหน่วยย่อยต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วในรูปแบบยกกำลัง (exponential) ซึ่งเมื่อเทียบกับอดีตที่ยังไม่มีระบบดิจิทัล มีเพียงการเขียนโปรแกรมสำเร็จรูปในคอมพิวเตอร์ และต่อมาผู้ผลิตหรือผู้เขียนโปรแกรมได้พัฒนามาใช้ระบบดิจิทัล มีการใช้อินเตอร์เนท และโทรศัพท์เคลื่อนที่ (smart phone) ทำให้มีการเขียนโปรแกรมหรือทำ platform เกิดขึ้น เกิดการกระจายการพัฒนาทางดิจิทัลไปสู่ธุรกิจรายย่อย ปัจเจคบุคคลเองก็พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาเพื่อเชื่อมโยงกับผู้เขียนโปรแกรมรายหลัก ทั้งนี้ รัฐบาลได้ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นให้มีการทำ platform เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สามารถส่งเสริมให้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ และส่งผลไปถึงอนาคตได้ด้วย รัฐบาลได้ให้การสนับสนุน ทั้งในด้านจัดให้มีกองทุนส่งเสริมธุรกิจ Startup การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI การปรับแก้กฎหมาย มีการตลาดที่ดีในการส่งเสริมธุรกิจเหล่านี้ ในส่วนผู้บริโภคก็ควรปรับตัวให้ทันกับธุรกิจดิจิทัลด้วย นอกจากนี้ยังมีการสร้างความรับรู้ให้กับประชาชนว่ารัฐบาลได้ทำอะไรให้บ้าง มีเทคโนโลยีอะไรบ้างที่ใช้ funding ได้ เพื่อให้ดิจิทัลสร้างศักยภาพของมันให้ได้มากที่สุด

นายสุวิชญ โรจนวานิช กล่าวว่า ในการผลักดัน Digital Economy กระทรวงการคลังจะเน้น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนา (Ecosystem) 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วยแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment และโครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (National Digital ID) 2) การเพิ่มช่องทางให้ Startups SMEs และ ภาคเอกชนสามารถระดมทุนในยุค Digital Economy ผ่านการระดมทุนผ่านโทเคนดิจิทัล (Initial coin offering : ICO) และ 3) การจัดทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (Financial Technology : FinTech) นอกจากนี้ ภาครัฐสามารถนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิด Digitalization และ Digital Transformation ที่แท้จริง โดยกระทรวงการคลังในฐานะหน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1) การสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ "Big Data" ของผู้มีรายได้น้อย เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ ออกแบบและเสนอแนะนโยบายสวัสดิการเพื่อผู้มีรายได้น้อย "แบบถูกฝาถูกตัว" 2) การใช้ระบบ IT ในการพัฒนาระบบงานภาษีที่เรียกว่า "ระบบบริการ Tax Single Sign On (Tax SSO)" เพื่อให้สามารถจ่ายภาษีได้ครบทุกประเภท โดยการลงทะเบียนภาษี ณ จุดเดียว และ 3) โครงการ E-Payment ภาครัฐ เช่น การจ่ายสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้วจำนวน 11.9 ล้านคน โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายผ่านสวัสดิการแห่งรัฐแล้วจำนวน 31,160 ล้านบาท

จากการเสวนาในช่วงบ่ายนี้จะสรุปได้ว่า ดิจิทัลเป็นเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ ซึ่งจะสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ และเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งภาครัฐจะต้องเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO