ดร.องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน ภายใต้ตราสินค้า "KC" เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็ง (Frozen) เพิ่มเติมจากเครื่องจักรเดิมที่เต็มกำลังการผลิต ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตข้าวโพดหวานแช่แข็งจากเดิมได้ถึง 3 เท่า ประมาณ 20,000 ตันต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับยอดการสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่เข้ามาจากต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลังที่ถือเป็นไฮซีซั่น และช่วยขยายสัดส่วนยอดขายของผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานแช่แข็งเพิ่มขึ้นเป็น 25 % ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด จากเดิม 20% ในไตรมาส 1 ตามแผนที่วางไว้
ขณะที่การดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2561 บริษัทเชื่อว่าจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในงานแสดงสินค้าประเทศต่างๆของบริษัทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้มียอดการสั่งซื้อ (ออเดอร์) ลูกค้าต่างประเทศเพิ่มเข้ามา ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานแช่แข็ง (Frozen) ที่ได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตตามที่กล่าวมาข้างต้น รวมไปถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานบรรจุถุงสุญญากาศ (Pouch) ที่จะเพิ่มการส่งออกเป็น 600 ตู้ จากเดิม 300 ตู้ โดยในไตรมาส 3 เป็นช่วงไฮซีซั่นต่อเนื่องของการปลูกข้าวโพดหวาน ด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยทำให้ได้ปริมาณผลผลิตมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าเพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าได้อย่างเต็มที่
โดยฐานลูกค้าของบริษัท ตลาดใหญ่ยังคงเป็นประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมไปถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศยุโรป รองลงมาได้แก่ กลุ่มตลาดเอเชียในประเทศที่บริโภคอาหารฮาลาล อาทิ อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เป็นต้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกต่างประเทศ 80% ส่วนที่เหลือเป็นการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศผ่านร้านสะดวกซื้อต่างๆ อาทิ 7-11 (สาขา สุวรรณภูมิ,ชลบุรี,ขอนแก่น,มหาชัย,สุราษฎร์ธานี,หาดใหญ่,ภูเก็ต,บางบัวทอง,เชียงใหม่) บิ๊กซี ซุปเปอร์เซนเตอร์ (ทั่วประเทศ), Makro (ทั่วประเทศ), Spar (กรุงเทพฯและปริมณฑล) โดยมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจากแผนการดำเนินงานทั้งหมดจะผลักดันให้ยอดขายโดยรวมในปี 2561 เติบโตได้อย่างดีตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 10% จากปีที่ผ่านมา
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2561 บริษัทมีรายได้รวม 479.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.3 ล้านบาท คิดเป็น 7.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีผลการผลิตเพิ่มขึ้นจากการมีปริมาณลูกค้าเพิ่ม และมีคำสั่งการสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ จากการที่บริษัทมีการออกงานแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 21.1 ล้านบาท ลดลง 9.4 ล้านบาท หรือลดลง 30.9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากกำไรขั้นต้นลดลง จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการขาย ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารและต้นทุนทางการเงินจะลดลงก็ตาม ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้เท่ากับ 919.3 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 26.3 ล้านบาท หรือ ลดลง 50.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน