นายสมศักดิ์ หลิมประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีที ไดร์ แอนด์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPT ผู้ให้บริการระบบไฟฟ้ากำลังสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถเชิงการแข่งขันแก่ภาคอุตสาหกรรม ครอบคลุมถึงการจำหน่ายอุปกรณ์และระบบควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงให้บริการติดตั้งและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย (ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตตู้ไฟฟ้ารายอื่น) เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/61(เมษายน-มิถุนายน 2561) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 14.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีกำไรสุทธิ 5.76 ล้านบาท โดยมีปัจจัยการเติบโตมาจากปริมาณการส่งมอบงานเพิ่มขึ้น รวมถึงรับรู้รายได้จากงานที่เลื่อนส่งมอบจากไตรมาส 1/61 ที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ทำรายได้รวม 211.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน 2561) นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวม 398.21 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.31 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเลื่อนส่งมอบงานบางส่วน จากครึ่งปีแรกเป็นช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้การรับรู้รายได้ต้องเลื่อนออกไป
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2561 รวมทั้งสิ้น 361 ล้านบาท โดยBacklog ส่วนใหญ่ประมาณกว่า 311 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังของปีนี้ และอีกประมาณ 50 ล้านบาทจะรับรู้รายได้ในปีถัดไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPT กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลังมั่นใจว่าจะเติบโตได้ดี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ โดยลูกค้าหลักอย่างกลุ่มโรงงานน้ำตาลจะเริ่มดำเนินการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเปิดหีบผลผลิตอ้อยรอบใหม่ รวมทั้งบริษัทฯ ยังขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ ที่มีความต้องการใช้ระบบไฟฟ้ากำลังสำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักร ครอบคลุมถึงอุปกรณ์และระบบควบคุมไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการติดตั้งและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ซึ่งเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ CPT ที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ จะสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเข้าร่วมประมูลงานจากลูกค้าภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานต่างๆ รวมมูลค่าโครงการอีกกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อผลิตตู้ไฟฟ้ามาตรฐานสูง (Metal-Clad Switchgear) ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากนั้นจะดำเนินการติดตั้งเครื่องจักรและคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในต้นปี 2562
"เรามั่นใจว่าปีนี้จะทำยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยฐานรายได้หลักมาจากกลุ่มธุรกิจขายตู้ไฟฟ้าระบบควบคุมเครื่องจักรและตู้ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าระดับแรงดันต่ำ ให้แก่กลุ่มโรงงานน้ำตาลที่จะเข้ามาต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง รวมถึงการขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย" นายสมศักดิ์ กล่าว