ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างในครึ่งปีหลังเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว คาดว่าโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะทยอยเปิดให้ยื่นประมูลงานได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ หลังจากชะลอตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วสำหรับโครงการภาคเอกชนยังคงมีการลงทุนในโครงการรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ที่มีแผนขยายและปรับปรุงสาขาหลายแห่ง
ขณะที่ธุรกิจของบริษัทช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยครึ่งปีแรกบริษัทได้ยื่นประมูลงานภาคเอกชนหลายแห่ง และมีงานต่อสัญญาเพิ่มเติม คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ส่วนงานโครงการภาครัฐ อาทิ งานรถไฟฟ้า งานรถไฟรางคู่ งานรถไฟความเร็วสูง ฯลฯ หากโครงการดังกล่าวเปิดประมูลตามแผน บริษัทได้เตรียมความพร้อมเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 350 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 171 ล้านบาทภายในปีนี้
ด้าน บริษัท โปรฟิน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจ Project Financing และ ICO Portal ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นเอกสารขออนุมัติเป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายดิจิทัลตามวัตถุประสงค์การจัดตั้งธุรกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ออกประกาศเรื่องหลักเกณฑ์เงื่อนไขและวิธีการให้ความเห็นชอบผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 61 โดยบริษัทจะทำการยื่นเอกสารภายในเดือนส.ค.นี้ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเพื่อเริ่มต้นประกอบธุรกิจผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) ภายในเดือนพ.ย. 61
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.01 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราจ่ายปันผล57.22% ของกำไรสุทธิ จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดรวมทั้งสิ้น 8.12 ล้านบาท โดยจะทำการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 24ส.ค. 61 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 7 ก.ย. 61
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 96.85 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 96.26 ล้านบาท จำนวน 0.59ล้านบาท หรือลดลง 0.61% และมีกำไรสุทธิ 5.78 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.54 ล้านบาท จำนวน 13.76 ล้านบาท หรือลดลง70.42%
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 194.76 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 190.27 ล้านบาท จำนวน 4.49 ล้านบาท หรือลดลง 2.36% และมีกำไรสุทธิ 14.51 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.68 ล้านบาท จำนวน 19.17 ล้านบาท หรือลดลง 56.92%
ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนบริการเพิ่มขึ้นจากความล่าช้าของโครงการขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทรับรู้รายได้เฉพาะในส่วนของต้นทุน ไม่สามารถรับรู้กำไรได้จนกว่าจะมีการต่อสัญญา อีกทั้งบริษัทมีค่าใช้จ่ายการบริหารที่เพิ่มขึ้น จากการรับพนักงานใหม่เพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต