นายอนาวิล จิรธรรมศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และธุรกิจพลังงานประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวด 3 เดือนประจำไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ว่า บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,691.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 473.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.89 เมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีรายได้รวมจำนวน 1,218.13 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาสที่ 2/2561 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 161.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86.33 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 115.21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 74.93 ล้านบาท
การปรับเพิ่มขึ้นของผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2561 ส่งผลให้ผลประกอบการในครึ่งแรกของปี 2561 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในงวด 6 เดือนแรกของปี บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 2,336.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 542.90 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.27 เมื่อเทียบกับรายได้จำนวน 1,793.32 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากรายได้จากการจำหน่ายเหล็กเพิ่มขึ้น และรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้งมีกำไรจากการจำหน่ายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 1 โครงการขนาด 4.02 เมกะวัตต์ดีซี ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธการขายโครงการเพื่อสร้างผลกำไรที่สูงขึ้น
สำหรับธุรกิจเหล็กในครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทฯมีปริมาณการขายเหล็กจำนวน 111,000 ตัน เพิ่มขึ้น 50,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 81 หรือ คิดเป็นจำนวนเงินจำนวน 1,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 912 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 104 เมื่อเทียบกับปี 2560 เนื่องจากความต้องการเหล็กทั้งในประเทศและต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นรวมทั้งราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยบริษัทฯสามารถผลิตและขายเหล็กแท่งเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนธุรกิจพลังงาน บริษัทฯ มีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจำนวน 332 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 78 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการที่มีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 3 โครงการ โดยบริษัทฯ ได้รวมรายได้จาก 2 โครงการซึ่งมีกำลังการผลิตจำนวน 23.70เมกะวัตต์ ดีซี ในเดือนมีนาคมและเมษายน 2560 และอีกหนึ่งโครงการกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 26.68 เมกะวัตต์ดีซี ซึ่งได้เริ่มรับรู้รายได้การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในเดือนเมษายน 2561 นอกจากนั้น ยังรับรู้รายได้จากการจำหน่าย หน่ายอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวน 212 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่น ตามแผนธุรกิจจำนวน 157 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ในครึ่งแรกของปี 2561 ถึงแม้ธุรกิจเหล็กจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากบริษัทฯ ยังมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูงจากช่วงต้นปีที่บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการ เตรียมความพร้อมการเปิดผลิตโรงงานเฟสที่ 1 ซึ่งได้หยุดผลิตไปนานประมาณ 3 ปี เพื่อให้สามารถกลับมาผลิตได้ตามปกติ ประกอบกับราคาตลาดของวัตถุดิบผันผวนสูงขึ้นเร็วกว่าการปรับตัวของราคาขาย จึงส่งผลให้ธุรกิจเหล็กยังมีผลดำเนินงานขาดทุนอยู่จำนวน 46 ล้านบาท สะท้อนให้ในครึ่งแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 84.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 50.29 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 67.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 38.19 ล้านบาท
นายอนาวิล กล่าวต่อถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2561 ว่า ยังมีทิศทางที่ดีทั้งธุรกิจเหล็กและพลังงาน โดยธุรกิจเหล็ก ความต้องการเหล็กทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มีแผนการขายทั้งปีจำนวน 270,000 ตัน แบ่งเป็นการขายต่างประเทศซึ่งได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ TATA INTERNATIONAL METALS (ASIA) LIMITED จำนวน 100,000 ตัน และขายในประเทศจำนวน 170,000 ตัน ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ธุรกิจพลังงานบริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 5 โครงการ มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 14.28 เมกะวัตต์ดีซี ซึ่ง 4 โครงการ มีแผนการก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนให้ผลประกอบการของ CHOW ในปีนี้เติบโตโดดเด่นได้ตามแผนงานที่วางไว้