นายรัฐพล ภักดีภูมิ กรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และ 135 ปี กิจการไปรษณีย์ไทย ปรับตัวและยกระดับคุณภาพบริการสู่ "ไปรษณีย์ไทย 4.0" เน้นแผนงานที่ต้องทำให้สำเร็จ คือ พัฒนาคุณภาพการให้บริการและภาพลักษณ์โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบงานรับฝาก งานส่งต่อ งานคัดแยก และงานนำจ่าย รวมไปถึงการปรับปรุงภาพลักษณ์ของที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต และภาพลักษณ์การนำจ่าย พัฒนาความเชี่ยวชาญด้านการบริการ เพื่อยกระดับไปสู่ผู้ให้บริการ e-Commerce 4.0 ซึ่งจะต้องขับเคลื่อน 3 เรื่องใหญ่ คือ e-Logistics e-Paymentและ e-Marketplace โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้บริการที่เป็นธุรกิจ e-Commerce และผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนให้สามารถเติบโตต่อไป และ พัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ระยะยาว โดยต้องร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ในเบื้องต้น ที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการไปรษณีย์ และปรับปรุงระบบการบริหารจัดการองค์กร ด้วยการวางระบบกระจายอำนาจในลักษณะ Area Coach เพื่อควบคุณคุณภาพและการให้บริการของที่ทำการไปรษณีย์
นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทย ขานรับนโยบาย "ไปรษณีย์ไทย 4.0" ที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จ โดยมีกลยุทธ์หลักในการดำเนินงานที่จะต้องยกระดับเรื่องคุณภาพบริการ โดยขับเคลื่อน 3 ด้าน คือ การให้บริการที่เป็นเลิศ (Service)การนำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งระบบตั้งแต่ การรับฝาก - คัดแยก - ส่งต่อ - นำจ่าย เพื่อให้รองรับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงจับมือกับพันธมิตรต่างๆ เปิดจุดให้บริการรับฝากในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าและสถานีบริการน้ำมัน การยกระดับเครือข่ายให้มีความแข็งแกร่ง (Strong) นำเครื่องคัดแยกแบบ Cross Belt Sorter และ Mixed Mail Sorter มาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วขึ้น เตรียมจัดตั้งศูนย์ไปรษณีย์แห่งใหม่ เพื่อรองรับปริมาณงานที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ที่มีระบบ Full Automation เตรียมจัดตั้งศูนย์ไปรษณีย์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจะเปิดศูนย์ไปรษณีย์ e-Commerce แยกระบบการขนส่งสินค้า e-Commerce ออกจากระบบงานขนส่ง EMS ปกติ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce โดยเฉพาะ พร้อมได้ติดตั้ง GPS ที่รถขนส่งไปรษณีย์กว่า 1,000 คัน แล้ว เพื่อควบคุมคุณภาพการขนส่งให้ทันเวลา สามารถติดตามรถขนส่งได้แบบ Real Time ลดปัญหาความล่าช้า ซึ่งก็ทำให้การควบคุมการส่งต่อไปรษณียภัณฑ์เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ตรงเวลา
นอกจากนี้ ยังมีบริการรองรับกลุ่มธุรกิจ e-Commerce ซึ่งปัจจุบันถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักอีกกลุ่มหนึ่งของไปรษณีย์ไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็น บริการ Prompt Post เตรียมการฝากส่งล่วงหน้า บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) เป็นบริการเสริมใช้ควบคู่กับบริการ EMS โดยจัดทำจ่าหน้าผ่านระบบ Prompt Post ผู้รับปลายทางสามารถชำระเงินค่าสินค้าผ่าน Wallet@Post ของไปรษณีย์ไทย สำหรับการส่งของให้ลูกค้าที่ต่างประเทศ ก็มีบริการเหมาจ่าย EMS One Price คิดตามขนาดกล่อง/ซอง บริการ e-Packet รองรับและส่งเสริมธุรกิจ e-Commerce ระหว่างประเทศที่ต้องการฝากส่งสินค้าในราคาประหยัด บริการ Courier Post เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการส่งสินค้าที่มีมูลค่าและต้องการความรวดเร็ว และบริการ EMS World ซึ่งนำจ่ายได้ตามมาตรฐาน ที่กำหนด (Delivery on Time) สูงถึง 98% ตามหลักเกณฑ์และเป้าหมายที่ UPU กำหนด ถึงที่หมายภายใน 3 - 5 วัน เป็นต้น
ในส่วนของบริการเชิงสังคมนั้น ไปรษณีย์ไทยได้รับโอกาสจากรัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้รับผิดชอบโครงการใหญ่ๆ ระดับประเทศ เช่น การเป็นผู้ขนส่งให้ภาครัฐ โครงการดิจิทัลชุมชน ด้าน E-Commerce ที่จะเป็นช่องทางการค้าขายสินค้าดี สินค้าเด่นของทุกชุมชน ผ่านเว็บไซต์www.thailandpostmart.com โครงการไปรษณีย์ไทย...เพื่อแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ที่เข้าไปช่วยเหลือพัฒนาชุมชน โดยใช้ที่ทำการไปรษณีย์เป็นศูนย์กลางในการประสานงานเครือข่าย และนำสินค้าในชุมชนมาขายผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ ซึ่งเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของเครือข่ายที่แข็งแกร่ง จะทำให้ไปรษณีย์ไทยเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่มีหน้าที่ช่วยขับเคลื่อนทุกธุรกิจของคนไทยและประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างแน่นอน นางสมร กล่าว ทิ้งท้าย
ทั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริการให้รองรับกับความต้องการของคนไทย รวมไปถึงระบบเครือข่ายการขนส่งและมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศ ควบคู่ไปกับการมุ่งมั่นพัฒนา ขับเคลื่อนความสำเร็จของชุมชน สังคม และประเทศชาติ และก้าวสู่การไปรษณีย์ไทย 4.0 อย่างเต็มภาคภูมิ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ THP Contact Center 1545 หรือ เว็บไซต์ www.thailandpost.co.th