ดร.ชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) ระดับแนวหน้าของประเทศ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 2 ปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 31.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 15.02 ล้านบาท หรือร้อยละ 93.68โดยมีรายได้จากการให้บริการ 237.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 68.54 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.64 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 168.64 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการของบริษัทฯและบริษัทย่อยในงวด 6 เดือนแรก ปี 2561 ( 1 ม.ค.-สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 2561) บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 102.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 30.26 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.97 โดยมีรายได้จากการให้บริการ 631.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 208.61 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.35 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 422.72 ล้านบาท
"ผลประกอบการที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรขั้นต้นในงวดไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 54.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.24 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 29.46 ล้านบาท และกำไรขั้นต้นงวด 6 เดือน อยู่ที่ 156.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.75 จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรขั้นต้น 107.90ล้านบาท " ดร.ชเนศวร์ กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 และจากกำไรสะสม กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 24 ส.ค. 2561 และกำหนดวันจ่ายปันผลในวันที่ 7 ก.ย. 2561
ดร.ชเนศวร์ กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเริ่มดำเนินงานได้เต็มที่ในงานที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ รวมถึงงานที่เลื่อนออกมาในช่วงก่อนหน้า อาทิ งานรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะเริ่มดำเนินงานได้ในไตรมาส 3/2561 และงานเอกชนต่างๆ ภาพรวมครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีงานใหม่ๆ ทยอยเปิดประมูลเพิ่มมากขึ้น และมองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมฐานรากปีนี้เป็นช่วงขาขึ้น จากงานก่อสร้างภาคเอกชนและรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลบวกต่อบริษัทโดยตรง เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก
"คาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เนื่องจากโครงการต่างๆ สามารถเริ่มงานได้ โดยบริษัทยังเดินหน้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีความพร้อมด้านเครื่องจักร อุปกรณ์ และเครื่องมือก่อสร้างที่ทันสมัย โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 25 ชุด และมีอัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ 80-90% ซึ่งเพียงพอต่อการรับงานฐานรากได้ทั้งหมด" ดร.ชเนศวร์ กล่าว
บริษัทเตรียมประมูลงานภาคเอกชนประมาณ 2,500 ล้านบาท คาดหวังได้งานไม่น้อยกว่า 25% ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 1,040ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 80% อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตอยู่ในระดับมากกว่า 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 721 ล้านบาท