หลังจากนั้นมาจวบจนวันนี้ ทีมสะบัดลายได้กลับมาอีกครั้ง โดยได้ผู้นำทีมอย่าง ครูนาย – มานพ มีจำรัส หลังจากที่ก่อนหน้านี้ครูนายได้ป่วย ในระยะเกือบ 2 ปี กับร่างกายที่ใช้การไม่ได้ซีกซ้าย ที่ไร้ความรู้สึกกับอาการของอัมพฤกษ์ ทำให้ครูนายรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่แล้ว ชีวิตครูนายนั้นโลดแล่นบนถนนสายศิลปะ จนได้รับการยอมรับในระดับชาติและนานาชาติว่าเป็น "ศิลปิน" เพราะด้วยผลงานของครูนายที่มีเอกลักษณ์และโดดเด่น จนทำให้ครูนายได้รับรางวัล ศิลปินแห่งละครเวที Excellent Award จากภัทราวดีเธียเตอร์ในปี พ.ศ. 2540 และได้รับรางวัลศิลปาธร จากกระทรวงวัฒนธรรม ในปี 2548 ด้วย
จวบจนมาในปี 2561 นี้ ครูนายได้กลับมายังรายการ Thailand's Got Talent : New Season อีกครั้ง พร้อมด้วยน้องๆ และลูกศิษย์ที่เป็นกำลังใจให้ครูนาย ซึ่งครั้งนี้จะเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มศิลปินที่หลากหลายสาขาผู้ที่มีใจยึดมั่นที่จะรวมตัวกันเพื่อให้ศิลปะให้คงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น นาฏศิลป์ไทย โอเปร่า เสภาดนตรีไทย และดนตรีสากล
หลังจากที่ครูนายได้ปรากฏตัวบนเวที กรรมการอย่าง คริส หอวัง และเจนนิเฟอร์ คิ้ม ต่างจำครูนายได้ว่าเป็นคนสำคัญที่คนในวงการด้านศิลปะการแสดงต้องรู้จัก ทำให้คริสถึงกับหลั่งน้ำตา พร้อมพูดกลางรายการว่า "ไม่รู้พี่นายจำหนูได้หรือเปล่า แต่หนูไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินพี่เลยด้วยซ้ำ เพราะพี่เป็นอาจารย์ของหนูนะคะ" จนทำให้ลูกศิษย์อย่างคริส วิ่งไปโผกอดครูนาย บุคคลที่คริสนั้นเคารพ เพราะทั้งสองเคยได้ร่วมงานกันมาก่อน ซึ่งครูนายได้เล่าให้ฟังว่า "ครูได้เจอและร่วมงานกับคริส หลังจากที่เล่นภาพยนตร์เรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ซึ่งคริสเขาเป็นเด็กที่น่ารัก ตอนนั้นคริสเขาจะเป็นเด็กสายเต้น ส่วนครูจะเป็นทางนาฏศิลป์ ซึ่งคริสเขาก็จะรู้จักชื่อเสียงของเรา ทำให้เวลาเจอกันตามงานต่างๆ ก็จะเข้ามาทักทาย และมาโผกอดทุกที รวมถึงครั้งนี้บนเวที Thailand's Got Talent ด้วย"
ส่วนสำหรับเหตุผลที่ครูนายกลับมาอีกครั้ง ครูนายได้บอกกับเราว่า "ที่ผมกลับมายังรายการ Thailand's Got Talent ในครั้งนี้ของทีมสะบัดลาย ก็เพื่อที่จะมาตอบแทนเสียงทุกเสียงที่ให้มายังผม เพราะในช่วงเวลาที่ผมป่วย เสียงทุกเสียงที่ส่งมา เป็นเสียงที่ก้องอยู่ในหูของผมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการมาในครั้งนี้ ผมจึงอยากมาขอบคุณที่ทุกคนยังอยากเห็นงานของผมอยู่ครับ"
และนี่คือเหตุผลที่เขากลับมา กับโชว์ที่หลายคนต้องเสียน้ำตา ผ่านการสร้างสรรผลงานในรูปแบบของโรงละคร ส่งผ่านความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ เพื่อยังคงระลึกถึง "คนเดียวในหัวใจ" แม้กาลเวลาจะผ่าน แต่ความทรงจำยังไม่ลืม