นายเชิดชัย พรหมแก้ว รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ สรุปผลความก้าวหน้าโครงการธนาคารสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายให้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 ว่า โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายยกระดับธนาคารสินค้าเกษตรให้สามารถบริการได้หลากหลาย โดยให้ธนาคารเปิดบริการรับฝาก ถอน ให้ยืม แลกเปลี่ยนปัจจัยการผลิต อุกปกรณ์การเกษตร การตลาด รวมถึงสินค้าอุปโภคและบริโภคเพื่อให้บริการแก่สมาชิก ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 2ที่กรมส่งเสริมสหกรณ์และอีก 5 หน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว จากการประเมินผลสำเร็จของโครงการนี้ พบว่า ธนาคารสินค้าเกษตรเป็นโครงการที่ดีสามารถช่วยเกษตรกรลดต้นทุนในการผลิตพืชผลทางการเกษตรได้เป็นอย่างดี ซึ่งได้ตั้งเป้าว่าจะต้องลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรในแต่ละอาชีพให้ได้ 20% แต่ขณะนี้แล้ว 17% และจะพัฒนาต่อยอดต่อไป
ทั้งนี้ ในการใช้บริการธนาคารสินค้าเกษตร ต้องมีการสมัครสมาชิกและเสียค่าธรรมเนียมรายปี เพื่อแจ้งความประสงค์ในการเข้าร่วมกิจกรรมจึงจะใช้บริการได้ ซึ่งในภาพรวมถือว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จอยู่ใน เกิน 80% โดยวัดจากเป้าหมายของการใช้บริการและความพึงพอใจของเกษตรกรที่เป็นสมาชิกที่มาใช้บริการ ส่งผลทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการให้สหกรณ์มีความเข้มแข็งช่วยสนับสนุนสมาชิกลดต้นทุนการผลิต และเข้าถึงปัจจัยการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังสามารถเสริมสร้างในด้านอื่น ๆ ด้วย เมื่อเกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ ก็ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นเหตุและผลไปพร้อม ๆ กัน
ส่วนปัญหาอุปสรรคเท่าที่พบคือต้องส่งเสริมการให้บริการแก่เกษตรกรมากขึ้น บางธนาคารต้องพึ่งพางบประมาณซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด เช่น ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ ต้องไปซื้อน้ำยาทำปุ๋ย ธนาคารประมง ต้องซื้อพันธุ์ปลา มาเพาะเลี้ยง ธนาคารโคกระบือ ต้องไปซื้อโคกระบือ ขณะที่ปัญหาอุปสรรคที่สำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คือ คนภายนอกมองว่าเกษตรกรทุกคนไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง ทั้งที่ความจริงแล้วเกษตรกรจะต้องเข้ามาเป็นสมาชิกและเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันก่อนจึงจะเข้ามาใช้บริการได้ ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการจัดตั้งแล้ว 7 ธนาคาร ประกอบด้วย ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ ธนาคารโคกระบือเพื่อเกษตรกร ธนาคารเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ธนาคารโคนมทดแทน ธนาคารข้าวในสถาบันเกษตรกร ธนาคารหม่อนไหม และธนาคารประมง ซึ่งแต่ละกรมฯจะดูแลในส่วนของตัวเอง ส่วนธนาคารสินค้าการเกษตรขณะนี้มีทั้งหมด 200 แห่งทั่วประเทศ แต่ละปีจะขยายผลไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับว่า เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปส่งเสริมในสหกรณ์แล้วจะมีผู้สนใจหรือไม่ ถ้ามีผู้สนใจเขาก็ไปส่งเสริมให้ทำแล้วก็ขยายผลต่อยอดให้เพิ่มขึ้น
สำหรับกิจกรรมของธนาคารยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องไป ปัจจุบันโครงการเริ่มนิ่งและเดินต่อไปได้ ไม่มีสิ่งที่น่ากังวล แต่อาจจะมีการขยายเพิ่มขึ้น เพราะในเบื้องต้นที่เริ่มทำกิจกรรม ก็ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกไปให้คำแนะนำให้ความรู้กับสมาชิก เมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มแล้ว ก็พัฒนาให้เป็นต้นแบบเพื่อให้เกษตรกรรายอื่น ๆ มาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้น โดยที่ส่วนราชการเพียงแค่ทำหน้าที่ในการสนับสนุนแนะนำเท่านั้น ที่เหลือให้เกษตรกรเชื่อมโยงพึ่งพาอาศัยกันเอง ถือว่าโครงการนี้ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างแท้จริง และทำให้เกษตรกรได้มีการดูแลซึ่งกันและกันและส่งเสริมให้สหกรณ์เป็นที่พึ่งพาของเกษตรกร โดยจะขับเคลื่อนนโยบายนี้อย่างต่อเนื่องและกำหนดเป็นแผนงานปกติของหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป