บทความวิจัย "รับมือสังคมสูงวัย" รับมือ'สังคมสูงวัย’

พฤหัส ๓๐ สิงหาคม ๒๐๑๘ ๑๓:๐๔
ศาสตราจารย์ ดร.เกื้อ วงศ์บุญสิน

เมธีวิจัยอาวุโส สกว. รองผู้อำนวยการ

สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมประชากรสูงวัย โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นของประชากรวัย 60 ปีขึ้นไปเป็นประชากรวัยพึ่งพิง การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างอายุของประชากรดังกล่าว นับเป็นประเด็นท้าทายสำคัญ สะท้อนถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีอายุขัยที่ยืนยาวกับสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มก้าวข้ามจากการพิจารณาเพียงสังคมสูงวัยไปสู่การเน้นเรื่อง "เศรษฐกิจอายุวัฒน์" (Longevity Economy) และ "การปันผลอายุวัฒน์" (Longevity Dividend) โดยการบรรลุเศรษฐกิจอายุวัฒน์นั้นมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การปันผลอายุวัฒน์ นั่นคือ โอกาสทางเศรษฐกิจอันยั่งยืนจากการที่คนในสังคมมีสุขภาพดีตลอดช่วงชีวิตอย่างยืนยาว ซึ่งการที่ประเทศจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเป็นสังคมสูงวัยที่มีสุขภาพดี จำเป็นต้องมีการเตรียมการเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจนั้น โดยจะต้องเตรียมประชากรให้เป็นผู้มีสุขภาพดีทั้งก่อนวัยเกษียณและหลังเกษียณ เช่นเดียวกับที่ประเทศไทยเองจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด มุมมอง วิถีปฏิบัติ เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน สามารถก้าวพ้นกับดักของมิติแห่งวัยพึ่งพิงที่จะต้องเผชิญหากปราศจากการปรับตัวอย่างเหมาะสมและทันการณ์

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร

จากข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 63.8 ล้านคน โดยมีผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 13.2 ผลการคาดประมาณประชากรไทยในระหว่างปี พ.ศ. 2553-2583 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าจำนวนประชากรในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 66.2 ล้านคนในปี พ.ศ. 2573 จากนั้นจะลดลงเป็น 63.9 ล้าน

คนในปี พ.ศ. 2583 ประชากรวัยแรงงาน (อายุ 15-59 ปี) และประชากรวัยเด็ก (อายุแรกเกิด-14 ปี) มีสัดส่วนลดลงเป็นร้อยละ 55.1 และร้อยละ 12.8 ตามลำดับในปี พ.ศ. 2583 ในขณะที่สัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นร้อยละ 32.1 เนื่องจากภาวะเจริญพันธ์ของสตรีไทยลดต่ำลงอย่างมากและรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพัฒนาการทางการแพทย์และนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งอำนวยให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น

เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจุบันผู้คนในเขตเมืองของไทยมีลักษณะคล้ายกับประเทศจีน นั่นคือ 1 คน ดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และทวด โดยในอนาคตสังคมไทยจะมีครัวเรือน 5 วัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นภาพสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจึงเป็น

ภาพที่น่าจะใช้ในการวางแผนเรื่องการลดจำนวนครอบครัวข้ามวัย เพื่อให้บุตรได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็เอื้อต่อการอยู่ร่วมกับปู่ย่าตายายไปด้วย

ผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

ถึงแม้ว่าประชากรทั้งหมดของไทยในปี พ.ศ. 2583 จะมีจำนวนใกล้เคียงกับเมื่อปี พ.ศ. 2553 (63.8 ล้านคน) แต่การลดจำนวนและสัดส่วนของประชากรวัยแรงงานจาก 42.7 ล้านคน (ร้อยละ 67) ในปี พ.ศ. 2553 เป็น 35.2 ล้านคน (ร้อยละ 55.1) ในปี พ.ศ. 2583 น่าจะส่งผลกระทบต่อปัจจัยการผลิตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาควบคู่กับประเด็นด้านคุณภาพของประชากร ซึ่งในปัจจุบันนั้น การขาดแคลนทั้งปริมาณและคุณภาพของกำลังแรงงานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และวิชาชีพในหลายสายวิชาชีพสำคัญๆ นอกเหนือจากภาพรวมของการขาดแคลนกำลังคนในเชิงคุณภาพ ความไม่สมดุลในตลาดแรงงานของกลุ่มผู้มีการศึกษา และความแตกต่างด้านคุณภาพของกำลังแรงงานที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา แรงงานไทยส่วนใหญ่ในระดับปริญญาตรีสำเร็จการศึกษาด้านสังคมศาสตร์ ถึงแม้ว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นด้านผลิตภาพแรงงานในช่วงที่ผ่านมา และพอจะดูแลผู้สูงอายุได้ระดับหนึ่ง แต่ในภาพรวมผลิตภาพแรงงานยังคงเพิ่มขึ้นช้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และรายได้ไม่ได้สูงกว่าการบริโภคเท่าใดนัก ความจริงแล้วรายได้และการบริโภคควรจะห่างกันมาก ๆ เพื่อจะได้มีเงินออมสำหรับอนาคตของตนเอง รวมทั้งเกื้อหนุนกลุ่มประชากรที่อยู่ในวัยศึกษาและประชากรสูงวัย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการบริโภคมากกว่ารายได้ ทำให้เกิดการขาดดุลรายได้การบริโภค โดยข้อมูลในปี พ.ศ. 2554 พบว่าตลอดช่วงอายุของประชากรมีการขาดดุลรายได้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท และปี พ.ศ. 2583 จะขาดดุลเพิ่มเป็น 1.8 ล้านล้านบาท กล่าวได้ว่า ตลอดช่วงอายุของคนไทยเราแต่ละคนจะติดลบหรือขาดดุลรายได้ประมาณ 27,000 บาทโดยเฉลี่ย

การศึกษาตัวอย่างประชากรวัยแรงงานในประเทศเกาหลีใต้และไต้หวันที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสายวิทยาศาสตร์ พบว่ายังพอมีเงินออมเพียงพอต่อการใช้ชีวิตในวัยสูงอายุ ในขณะที่ประชากรไทยยังมีเงินออมไม่มากเพียงพอ และสำเร็จการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์ค่อนข้างน้อย แต่เดิมนั้นรัฐบาลมีการวางแผนให้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษาและสายสามัญอย่างละครึ่ง แต่ปรากฏว่ามีเพียงร้อยละ 25 ที่ศึกษาต่อในสายอาชีวศึกษา อีกร้อยละ 75 ไปสายสามัญ ซึ่งในสายสามัญมีเพียงร้อยละ 25 ที่เรียนสายวิทยาศาสตร์ รัฐบาลชุดปัจจุบันก็พยายามที่จะส่งเสริมให้เน้น

การศึกษาด้าน STEM มากขึ้น คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ เพื่อให้มีรายได้มากกว่าการบริโภคและมีเงินออมในการดูแลตัวเองและผู้สูงอายุในอนาคต อันเป็นการสานจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ซึ่งเน้นให้ "คน" เป็นศูนย์กลาง ดังนั้นเราจะต้องเร่งผลิตครูด้าน STEM education ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จัดทำโครงการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำที่เหมาะสมกับสังคมไทยภายใต้โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมอบให้ วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ มี ศาสตราจารย์ ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน เป็นหัวหน้าโครงการเพื่อ จัดทำแผนประชากรระยะยาว 20 ปี (พ.ศ. 2558-2577) ซึ่งส่วนหนึ่งได้ถอดเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 12 ด้วย

ความท้าทายในการรับมือสังคมสูงวัย

ประชากรสูงวัยนั้นจัดว่าเป็น 'วัยพึ่งพิง' โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านงบประมาณที่ค่อนข้างสูงเกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูภายหลังการเจ็บป่วย เนื่องจากเป็นวัยที่มีอัตราการเจ็บป่วยและภาวะทุพพลภาพสูงกว่าวัยอื่น ดังนั้นการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาสังคมและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตจึงไม่เพียงแค่การปรับตัวของครอบครัวหรือชุมชน บทบาทของภาครัฐนับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการบริหารจัดการเพื่อให้ประเทศก้าวสู่โอกาสใหม่ของเศรษฐกิจอายุวัฒน์ และได้รับประโยชน์จากการเป็นสังคมสูวัยที่มีสุขภาพดีหรือการปันผลอายุวัฒน์ โดยจะต้องมีมาตรการที่ดีเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนประชากรที่มีแนวโน้มของสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

การมีสุขภาพดีนั้นไม่จำกัดเพียงสุขภาพทางกาย หากยังครอบคลุมถึงมิติอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางสมอง และจิตใจ ปราศจากภาวะทุพพลภาพ จึงจะจัดว่าเป็นผู้สูงอายุที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการเตรียมการเพื่อให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสถานะสุขภาพดีจึงต้องเตรียมการตั้งแต่ก่อนวัยสูงอายุ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองในระดับปัจเจกบุคคลแล้ว ยังเป็นการเอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ความมั่นคงทางการเงินในระดับครัวเรือนยังเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากของประเทศ ความไม่มั่นคงทางการเงินตั้งแต่ก่อนเข้าสังคมสูงวัยจะทวีปัญหามากยิ่งขึ้นในอนาคตเมื่อเป็นสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อการขับเคลื่อนประเทศระหว่าง พ.ศ. 2560-2564 ได้เชื่อมโยงแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งครอบคลุมหลายด้านรวมถึงการผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ท่ามกลางปัญหาท้าทายสำคัญในช่วงทศวรรษหน้า โดยเฉพาะการก้าวสู่สังคมสูงวัย

ทั้งนี้การนำอัตราพึ่งพิงมาพิจารณาผลกระทบต่อความเป็นไปทางเศรษฐกิจหรือโอกาสการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ในกรณีของประเทศไทยการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจควรพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ประชากรกลุ่มวัยเด็กที่กำลังเคลื่อนไปสู่วัยแรงงาน เป็นประชากรที่มีคุณภาพในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version