นายสุรเดช ตัณฑ์ไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASIMAR เปิดเผยถึงแนวโน้มผลงานในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากมูลค่างานคงค้างในมือ (Backlog) ที่มีราว 200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีศักยภาพเพียงพอจะสามารถรับงานซ่อมเรือและต่อเรือได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ลงนามในสัญญาจ้างติดตั้งโครงสร้างเหล็กสำหรับส่วนขยายสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นการรับงานเหมาช่วงจาก บริษัท ไชน่า สเตทคอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 35 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการประมาณ 9 เดือน คาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2561 เป็นต้นไป ซึ่งสะท้อนแผนการรุกงานโครงสร้างเหล็กเพิ่มขึ้น ส่วนในด้านงานโครงการต่อเรือเฟอร์รี่ คาดว่าจะสามารถเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2561 เช่นกันโดยบริษัทยังเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องอีก ทั้งงานภาคเอกชนที่บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว และรุกงานภาครัฐบาลมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนขยายกำลังการผลิตเรือซ่อม เพื่อเสริมศักยภาพอู่ซ่อมเรือที่จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา เนื่องจากมองว่าธุรกิจซ่อมเรือปีนี้เริ่มฟื้นตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ลูกค้ามีงบประมาณซ่อมเรือเพิ่มขึ้น
นายสุรเดช กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในส่วนของเรือซ่อม ทั้งปี 2561 คาดว่าจะเติบโต 5-10% ตามเป้าหมาย แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องซ่อมเรือทุกๆ 2 ปีครึ่ง ถึง 3 ปี และจากความมั่นใจของลูกค้าในคุณภาพงานและการส่งมอบงานตรงเวลา ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่ส่งเรือมาซ่อมกับทางบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง และลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามาทดลองใช้บริการซ่อมเรือกับทางบริษัทฯ กลายมาเป็นลูกค้าประจำเพิ่มขึ้น
"ภาพรวมธุรกิจในส่วนของเรือซ่อมปีนี้คาดว่าจะเติบโตขึ้น จากทิศทางอุตสาหกรรมต่อเรือ และซ่อมเรือที่เริ่มมีสัญญาณบวกตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกของไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้จาก 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจต่อเรือ ธุรกิจซ่อมเรือ และธุรกิจโครงสร้างเหล็กสัดส่วนรายได้จะเป็นธุรกิจซ่อมเรือเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าอยู่ในภาคเอกชนเกือบทั้งหมด และอยู่ระหว่างขยายฐานลูกค้ามายังกลุ่มราชการเพิ่ม โดยตั้งเป้าสัดส่วนงานราชการสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 15 - 20% จากปีก่อน 10% ด้านต่อเรือส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าหน่วยงานราชการ ซึ่งมีการประมูลแข่งขันด้านราคาระหว่างอู่สูง และมีความต้องการเรือต่อใหม่จำกัดตามงบประมาณ ทำให้ประมาณการรายได้ส่วนนี้ในแต่ละปีขึ้นอยู่กับผลการประมูลงาน บริษัทฯ จึงต้องหารายได้เพิ่มในส่วนของงานโครงสร้างเหล็ก ซึ่งบริษัทมีทักษะ ความเชี่ยวชาญและมีโอกาสในการรับงานเพิ่มขึ้น จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ของรัฐบาล" นายสุรเดช กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2561 ของบริษัทฯและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 3.61 ล้านบาท ลดลง 89.17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 33.34 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 138.96 ล้านบาท ลดลง 33.90% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 210.23 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้จากงานซ่อมเรือ 111.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นงวดเดียวกันของปีก่อน 1.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.36% โดยรายได้ซ่อมเรือเพิ่มขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทำให้การขนส่งทางทะเลมีทิศทางดีขึ้น และรับรู้งานโครงการที่สาขาสุราษฎร์ธานี ได้มากขึ้น ส่วนรายได้จากงานต่อเรือ อยู่ที่ 16.20 ล้านบาท ลดลง 79 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยในไตรมาส 2/2561 มีเพียงโครงการต่อเรือกำจัดผักตบชวา จำนวน 4 ลำ นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้รายได้โครงการวิศวกรรมเป็นงานโครงสร้างเหล็กของโครงการก่อสร้างด่านศุลกากร สะเดา จังหวัดสงขลา 6.29 ล้านบาท