นายธีระชัย ธีระรุจินนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) จำกัด (มหาชน) หรือ TPLAS เปิดเผยว่า จากการปรับตัวเพิ่มของราคาหุ้นในวันนี้(5ก.ย.61) ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อการดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถุงบรรจุอาหารประเภท Polypropylene (PP), ถุงบรรจุอาหารและถุงหูหิ้วประเภท High Density Polyethylene (HDPE) ภายใต้ตราสัญญาลักษณ์ "หมากรุก" และฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร Polyvinyl Chloride (PVC) ภายใต้ตราสัญญาลักษณ์ "Vow Wrap" ในครั้งนี้
ทั้งนี้บริษัทฯยังมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารที่ทันสมัย และมีคุณภาพสูง รวมถึงมีความหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศและภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน จำนวน 103.60 ล้านบาท จะนำไปใช้เพื่อการขยายอาคารโรงงานใหม่ พร้อมติดตั้งเครื่องจักรใหม่ สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติก และปรับปรุงอาคารโรงงานเดิม รวมถึงสำนักงานบริษัทฯ จำนวน 70 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากถุงพลาสติก และการขยายตลาดมากขึ้น และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ปัจจุบัน บริษัทฯมีการผลิตสินค้าขนาดที่ใช้ทั่วไปในตลาดแบบ Mass Production เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงพลาสติกและฟิล์มถนอมอาหารที่มีมากในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันกำลังการผลิตถุงพลาสติก รวม 10,281.60 ตันต่อปี โดยแบ่งเป็น ถุงพลาสติกประมาณ 850 ตันต่อเดือน ในขณะที่กำลังการผลิตฟิล์มถนอมอาหาร (PVC) อยู่ที่ 1,411.20 ตันต่อปี หรือประมาณ 120 ตันต่อเดือน และมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากบริษัทฯกว่า 5,000 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปตามตลาดท้องถิ่นต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มกำลังผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด พร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณพร้อม และการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าทั่วไป และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมอาหารที่ต้องการเก็บรักษาสินค้าและวัตถุดิบให้อยู่ได้นาน หรือห้างสรรพสินค้า และโรงแรมที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ นอกจากนี้ ในอนาคตบริษัทฯมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามนโยบายเปิดการค้าเสรี (AEC) มั่นใจหากเดินหน้าตามแผน จะส่งผลให้ผลการดำเนินทางธุรกิจของบริษัทฯปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) หรือ TPLAS กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมถุงพลาสติกในประเทศมีการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ในปีพ. ศ. 2561 จากมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาทในปี 2560 จากการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ และราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ประชาชาชนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นไปด้วย
รวมทั้งการเติบโตของร้านค้า เช่น ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าส่ง ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าต่างๆ ซึ่งขยายตัวและมีการก่อสร้างในพื้นที่ต่างๆ เพิ่มขึ้น เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ ร้านค้าเหล่านี้จะมีความต้องการใช้ถุงพลาสติกที่เพิ่มขึ้น
และการเติบโตของอุตสาหกรรมอื่นที่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ในส่วนของสินค้าแช่แข็งที่แนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น และในส่วนของอาหารสำเร็จรูปที่ผู้จำหน่ายจะเน้นคุณภาพ ความสดความสะอาด ซึ่งจะต้องมีการบรรจุในผลิตภัณฑ์ที่ทำเพื่ออาหารโดยเฉพาะ เป็นต้น จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่กล่าวข้างต้น จะส่งผลทำให้ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกเพิ่มขึ้น
ด้านนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AEC ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการ การจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ของ บมจ. ไทยอุตสาหกรรมพลาสติก (1994) (TPLAS) ในวันนี้ถือประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารที่ทันสมัย
อีกทั้งยังเป็นบริษัทฯที่มีความแข็งแกรงทางด้านการเงินโดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.4 เท่า และหนี้ในปัจจุบันมีเพียงหนี้ทางการค้า และหนี้ระยะยาวเหลือเพียงเล็กน้อย และวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในตลาดหุ้นก็พอใช้ในการก่อสร้างโรงงาน ติดตั้งเครื่องจักรใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของผลการดำเนินงานได้มากยิ่งขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของ TPLAS ในปี 2560 มีรายได้จากการขายรวม 530.96 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.09 ล้านบาท และล่าสุด บริษัทฯมีรายได้รวม งวด 6 เดือนปี 2561 ที่ 273.14 ล้านบาท และ กำไรสุทธิ 12.52 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากดีมานความต้องการใช้ถุงพลาสติกยังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯต้องเพิ่มปริมาณกำลังการผลิตถุงพลาสติกของบริษัทฯ เพื่อรองรับกับดีมานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ