นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ (โรดโชว์) ต่อนักลงทุน ในวันอังคารที่ 11 กันยายน 2561 นี้ ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 120 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 28.57 % ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย การโรดโชว์ครั้งนี้ปรากฎว่าได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุน ทำให้มั่นใจว่าในช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้นไอพีโอกระแสตอบรับจากนักลงทุนจะเป็นไปอย่างคึกคักเช่นกัน และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) หมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม ภายในไตรมาส 4/2561 นี้
บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร พร้อมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์การเกษตรด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ ได้รับสิทธิ BOI จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนโดยบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย โครงผาล ใบดันดิน ใบเกลียวลำเลียง จำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้า "Pegasus" ซึ่งเป็นตราสินค้าของบริษัทฯ เอง นอกจากนี้ยังให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับตราสินค้าอื่น ๆ ตามแบบที่ลูกค้ากำหนด อาทิ บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตนั้นต้องได้มาตรฐานการผลิตตามที่บริษัทคูโบต้าได้กำหนดไว้อย่างเข้มงวดภายใต้ตราสินค้า "ตราช้าง"
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนในบริษัท อัดเลอร์เทค จำกัด ("อัดเลอร์เทค") ร้อยละ 99.80 โดยเป็นการซื้อหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมเพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ โดยการเพิ่มความหลากหลายของตราสินค้าให้ผลิตภัณฑ์หลัก (Fighting Brand) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้แก่บริษัท ทั้งนี้ อัดเลอร์เทค ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการเกษตรประเภท ใบผาล ภายใต้ตราม้าบิน อีกทั้งอัดเลอร์เทคยังมีการจำหน่ายใบเกลียวและใบดันดิน อีกด้วย
สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา 2558-2560 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมเท่ากับจำนวน 263.23 ล้านบาท จำนวน 275.59 ล้านบาท และจำนวน 260.48 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 2560 บริษัทฯ มียอดขายลดลงจำนวน 15.11 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 5.48 ของรายได้รวมปี 2559 ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์ประเภทโครงผาล ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากปัญหาด้านคุณภาพของวัตถุดิบของคู่ค้ารายหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากพิจารณายอดขายในส่วนของผลิตภัณฑ์ประเภท ใบผาล ใบดันดิน จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้อื่น ซึ่งประกอบด้วย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยรับเป็นจำนวน 0.94 ล้านบาท จำนวน 0.11 ล้านบาท และจำนวน 1.86 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.36 ร้อยละ 0.04 และร้อยละ 0.71 ของรายได้รวมตามลำดับ
สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 188.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 33.81 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 141.20 ล้านบาท
ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายผลิตภัณฑ์ประเภทใบผาล โดยเป็นผลมาจากปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งด้านปัจจัยจากสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ำ ที่พบว่าปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญมีเพียงพอต่อการเพาะปลูก อีกทั้งสภาพอากาศในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศเอื้ออำนวยต่อการผลิต ทำให้การคาดคะเนสภาวะเศรษฐกิจการเกษตรเป็นไปในทิศทางที่ดี ส่งผลให้ลูกค้าเพิ่มการสั่งซื้อเพื่อเตรียมผลิต
ในส่วนของกำไรสุทธิของบริษัทและบริษัทย่อยในปี 2558 ปี 2559 และปี 2560 เท่ากับจำนวน 27.80 ล้านบาท จำนวน 35.78 ล้านบาท และจำนวน 20.83 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 10.65 ร้อยละ 13.04 และร้อยละ 8.12 ตามลำดับ สำหรับปี 2560 การปรับตัวลดลงของอัตรากำไรสุทธิต่อรายได้เทียบกับปี 2559 มียอดเท่ากับจำนวน 20.83 ล้านบาท มีสาเหตุสำคัญจากการลดลงของรายได้จากสภาวะอากาศที่แปรปรวน และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการบริหารที่บริษัทฯ มีการลงทุนในเครื่องจักรและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่เพิ่มมากขึ้น
สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีกำไรสุทธิ 16.69 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 8.95 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2560 คิดเป็นร้อยละ 20.96 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายที่ปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจการเกษตรที่ขยายตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น
กำไรขั้นต้น (ไม่รวมรายได้อื่น) มียอดเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวน 7.61 ล้านบาท มีสาเหตุสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ทั้งใบผาล โครงชุดผาลรถไถ และใบดันดิน ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของการขายใบเกลียวที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์อื่นลดลงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นรวมลดลง
ด้านนายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ต่อนักลงทุนที่กรุงเทพฯ ในครั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีการพัฒนาสินค้าของตนเองเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในอนาคต จึงเชื่อว่าการเข้ามาระดมทุนในตลาดครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ KWM สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นในครั้งนี้ KWM จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จึงมั่นใจในศักยภาพทางการแข่งขันและการขยายโอกาสทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งมีนักลงทุนสนใจทั้งถามข้อมูลและสนใจจองซื้อหุ้น ซึ่ง KWM คาดว่าจะทราบราคาไอพีโอในวันที่ 18 กันยายนนี้ ที่จะมีพิธีแต่งตั้งผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดย Co-Underwrite จะมี 3 แห่ง และคาดเทรดในต้นเดือนตุลาคมตามแผนที่วางไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่กังวลต่อภาวะตลาดหุ้น เพราะเราเชื่อมั่นในตัวบริษัทฯ ซึ่งการกำหนดราคาต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อตอบแทนนักลงทุน
"จุดเด่นของ เค. ดับบลิว. เม็ททัลฯ คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตรซึ่งมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานและการมีคู่ค้ารายสำคัญเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตร ทั้งนี้ มองว่าโอกาสในการเติบโตของเค. ดับบลิว. เม็ททัล ยังมีอีกมากสอดคล้องกับกับการเติบโตของภาคเกษตรของประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นรากฐานสำคัญของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเป็นสินค้าวัตถุดิบตั้งต้นของอุตสาหกรรมหลากหลาย ขณะเดียวกันการผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งเชื่อว่าการระดมทุนในครั้งนี้ช่วยต่อยอดธุรกิจของ KWM" นายชนะชัย กล่าว
KWM เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 120 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวนไม่น้อยกว่า 115 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.38 ของจำนวนที่เสนอขาย และจำนวนไม่เกิน 5 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ โดยแต่งตั้ง บล.เออีซี จำกัด(มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ภายหลังการเสนอขาย IPO ครั้งนี้บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวนไม่เกิน 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท