นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM เปิดเผยว่า มั่นใจหุ้น IPO ของ KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสำมัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า115.5 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 27.50 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และเสนอขายให้แก่กรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 4.5 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 1.07 ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด
กำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 19 - 21 กันยายน 2561 โดยมีผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเข้าร่วมอีก 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "KWM"
"ภาวะตลาดหุ้นขณะนี้เชื่อว่าเป็นผลบวกต่อ KWM เนื่องจากปัจจัยในประเทศเกื้อหนุนธุรกิจของบริษัทฯโดยตรง โดยการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 1.30 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับผลประกอบการและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 22.95 เท่า เมื่อคำนวณจากผลประกอบการรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 เปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ย ของหมวดสินค้าอุตสาหกรรมของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วง 12 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2561 มีค่าเท่ากับ 28.76 เท่า ทั้งนี้คาดว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี เนื่องจากจำนวนหุ้นที่เสนอขายมีจำนวนเพียง 120 ล้านหุ้น มั่นใจว่าจะสามารถจำหน่ายหมดทั้งจำนวน" นายชนะชัยกล่าว
นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร พร้อมทั้งมีการวิจัยและพัฒนาคุณภาพของอุปกรณ์การเกษตรด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง เปิดเผยว่า หลังจากระดมทุนแล้วบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มโอกาสในการเติบโตให้บริษัทฯ โดย KWM มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีพื้นฐานเทคนิคด้านการเกษตร หากมีการพัฒนาที่ดีมองว่าอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตรในประเทศสามารถขยายตัวได้อีก นอกจากนี้การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ ทั้งต่อสถาบันการเงิน คู่ค้าธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของรายได้ในอนาคต
"KWM กำหนดราคาเสนอขายที่ 1.30 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งนักลงทุนจะได้มีส่วนลงทุนในบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้เชื่อว่า KWM จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างดี และถือว่าเป็นหนึ่งในหุ้น Growth Stock และ Dividend Stock ซึ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทฯ โดยในปี 2561 แนวโน้มผลประกอบการของ KWM มีทิศทางในการเติบโตที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับปีนี้บริษัทฯ มีโปรดักส์ใหม่ คือ ใบผาลตัวใหญ่ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนยอดขายของบริษัทฯให้เพิ่มขึ้น" นายเอกพันธ์ กล่าว
บริษัท เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทฯจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 210 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯได้แก่ กลุ่มวนโกสุม ถือหุ้นร้อยละ 71.79 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว
โดย 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับรายได้รวมในปี 2558 - 2560 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเท่ากับ 263.23 ล้านบาท 275.59 ล้านบาท และ 260.48 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 27.80 ล้านบาท 35.78 ล้านบาท และ 20.83 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 22.50 ร้อยละ 25.53 และร้อยละ 23.51 ตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 10.65 ร้อยละ 13.04 และร้อยละ 8.12 ตามลำดับ และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจำนวน 188.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.74 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 33.81 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 141.20 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.69 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 8.95 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2560 คิดเป็นร้อยละ 20.96