รวมถึง ที่จะมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาประมาณสัปดาห์ที่ 2 ในเดือนตุลาคม โดยภาพรวมคาดว่าจะเติบโตอยู่ในระดับ15% ขึ้นไป ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี หากเปรียบเทียบกับในสองไตรมาสที่ผ่านมา โดยในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการเติบโตที่ประมาณ 10%
นายประภาสกล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ถือว่ามีส่วนสนับสนุนสถานการณ์การลงทุนของตลาดหุ้นไทย คือเรื่องของการเลือกตั้ง ภายหลังจากราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สว.และ สส. พ.ศ. 2561 ในวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมา ทำให้การเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นเริ่มมีการตอบสนองในเชิงบวก เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลังจากการเลือกตั้งใน 5 รอบ ที่ผ่านมา จะมีเพียงหนึ่งรอบเท่านั้นที่ก่อนการเลือกตั้ง 6 เดือน ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง แต่นอกนั้นทุกรอบที่มีการเลือกตั้ง ก่อนหน้าการเลือกตั้ง 6 เดือน ดัชนีตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10-18%หรือสรุปได้ว่า ใน 5 รอบดัชนีจะมีการบวก 4 รอบและติดลบ 1 รอบ
"ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจของไทยตอนนี้อยู่ในช่วงทิศทางขาขึ้น ดังนั้น ช่วงเวลา 6 เดือนนับจากนี้ ถ้ามองว่าวันเลือกตั้งคือ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ช่วงระยะเวลา 6เดือน ก่อนเลือกตั้งคือ 24 สิงหาคม 2561 – 24 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งหากไปดูสถิติย้อนหลังในอดีตตลาดจะบวก 18% ดังนั้น หากดูช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 24สิงหาคม จนถึงช่วงระยะนี้หุ้นได้บวกขึ้นมาประมาณ 3% แล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะ ยังคงได้รับปัจจัยเชิงบวกในเรื่องของฤดูกาลการเลือกตั้ง รวมถึงเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และตัวเลข GDP ที่จะประกาศออกมาในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ประมาณที่ 4.5%" นายประภาสกล่าว
สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตามองคือ ประเด็นเรื่องการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจและกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างมากในช่วงไตรมาสที่ 2 ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาสที่ 3 ในแง่ของพัฒนาการของสถานการณ์ ถือว่าไม่ได้ลดความร้อนแรงลงแต่อย่างใด เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดเคยประเมินไว้ อย่างในเรื่องของการขึ้นภาษี 25% ในทันที ก็กลายเป็นแค่ 10% และขึ้นเป็น 25% ในช่วงต้นปีหน้า และการตอบโต้ของจีนที่เคยบอกว่าจะมีการเพิ่มภาษีที่ 25% ก็กลับกลายเป็นว่าเพิ่มเพียง 5-10% และไม่มีสองเฟสตามที่เคยกล่าวไว้ ซึ่งถือเป็นการตอบโต้น้อยกว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยนี้จึงทำให้ผู้ลงทุนมีความสบายใจขึ้น แต่ประเด็นนี้ก็ยังคงมีความยืดเยื้ออีกพอสมควร เนื่องจากเป็นรูปแบบการเจรจาของแต่ละฝ่ายที่ยังคงต้องติดตามกันต่อไป
"บลจ.ทาลิสประเมินปัจจัยลบภายนอกค่อนข้างจะหนักหน่วงโดยคาดว่าจะเบาบางลงในเชิงของความเสี่ยง แต่ปัจจัยบวกภายในประเทศก็น่าจะเป็นข่าวดี เป็นแรงสนับสนุนกระตุ้นให้ตลาดเติบโตขึ้นได้เรื่อยๆ สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาแกว่งตัวไปในทิศทางขาลง และมีการปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในส่วนที่เหลือของปีนี้จนต่อเนื่องไปถึงช่วงของการเลือกตั้ง และถึงแม้ว่าตลาดจะมีการปรับตัวขึ้น แต่คงเป็นการปรับตัวขึ้นแบบปรับฐานเป็นรอบ ๆ ซึ่งในระยะยาว เวลาที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวร้อนแรงก็มักจะมีผลต่อการปรับตัวในอนาคต เช่นเดียวกับในรอบปีนี้ที่ดัชนีจาก 1,850 จุด ปรับลงมาที่ 1,600 จุด ซึ่งยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในช่วงเวลา 1-2 ปีข้างหน้า" นายประภาสกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นโอกาสดี ในการจัดน้ำหนักการลงทุนของพอร์ต ที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นให้อยู่ในระดับเชิงรุก โดยประมาณ 60-70% ของพอร์ตในกรอบการลงทุนช่วง 6-12 เดือนข้างหน้านี้ คาดว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งบลจ.ทาลิส มีกองทุนที่ตอบโจทย์สถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดทาลิส เฟล็กซิเบิ้ล (TALIS Flexible Fund) – TLFLEX ซึ่งเป็นกองที่จะดูแลเรื่องความผันผวนของตลาด เพราะมีนโยบายกระจายเงินลงทุนของกองทุนในตราสารทุน และตราสารหนี้ โดยกองทุนจะพิจารณาปรับสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์แต่ละ ประเภทในสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 0 ถึงร้อยละ 100 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนและตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์และสภาพตลาดในแต่ละขณะ ทั้งนี้ การลงทุนในกองทุนรวมตราสารแห่งทุนอาจมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-015-0222 / www.talisam.co.th